เกิดที่นั่นแต่เล่นที่นี่! 10 ยอดแข้งที่ไม่ได้ลงสนามให้ชาติกำเนิดตัวเอง

เกิดที่นั่นแต่เล่นที่นี่! 10 ยอดแข้งที่ไม่ได้ลงสนามให้ชาติกำเนิดตัวเอง
นักฟุตบอลบนโลกนี้มีหลายล้านคน แต่ในจำนวนมากมายเหล่านั้น มีไม่น้อยเลยที่เกิดในประเทศหนึ่ง แต่กลับเลือกที่จะเล่นให้อีกประเทศหนึ่ง ซึ่งเหตุผลของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันออกไป ว่าแล้ว 'SIAMSPORT' จึงคัดสรร 10 แข้งที่ไม่ได้ลงสนามในนามประเทศกำเนิดตนเองมาให้คุณได้อ่านกัน!!

[ 1 ] เปเป้ (บราซิล)

เชื่อเหลือเกินว่าบราซิล คงจะเสียดายมากๆ กับการที่ไม่เคยเลือกเด็กชาย เคปเลอร์ ลาเวรัน เดอ ลิม่า แฟร์เรยร่า หรือ 'เปเป้' ติดทีมชาติในชุดเยาวชน ทั้งๆ ที่เขาเกิดและโตที่มาเซโญ่ เมืองหาดสวยทางตะวันออกของประเทศ

เปเป้ อยู่กับอะคาเดมี่ของ โครินเธียนส์ อลาโกอาโน่ ตั้งแต่อายุ 12 ขวบ แต่ไม่ได้เล่นให้ทีมชุดใหญ่สักที เลยบินข้ามาผจญภัยในโปรตุเกส กับ มาริติโม่ แล้วก็แจ้งเกิด จนได้ย้ายสู่สโมสรใหญ่อย่าง ปอร์โต้ ในฤดูกาล 2004-05

ชีวิตบนดินแดนฝอยทองไปได้สวย ชื่อเสียงเริ่มโด่งดัง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไร้วี่แววที่บราซิล จะเรียกตัว จนในที่สุด ปี 2007 เขาก็ได้สัญชาติโปรตุเกส และติดทีมชาติในปีเดียวกันนั้นเอง แถมยังถูก เรอัล มาดริด กระชากตัวไปร่วมทัพในเวลาต่อมา

เปเป้ ถือเป็นหนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดในโลกในยุคของตนเอง กับความสำเร็จมากมายทั้งระดับสโมสรและทีมชาติ โดยเฉพาะการได้รับเลือกให้ติด 'ทีมยอดเยี่ยม' ประจำทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 3 ครั้งติดต่อกัน

__________

[ 2 ] อัลฟอนโซ่ เดวิส (กานา)

ชีวิตในวัยเด็กของ อัลฟอนโซ่ สุดแสนจะยากลำบาก เพราะครอบครัวของเขาเป็นชาวไลบีเรีย แท้ๆ แต่ต้องอพยพกับเพื่อนร่วมชาติอีกกว่า 450,000 ชีวิตไปอยู่กานา เนื่องจากพิษสงครามในประเทศ

อย่างไรก็ตาม พออายุได้ 5 ขวบ ครอบครัว เดวิส ก็ต้องย้ายถิ่นฐานอีกครั้ง เดเบอาห์ และ วิคตอเรีย ต้องหอบลูกๆ ทั้ง 4 ไปที่เอ็ดมันตั้น ประเทศแคนาดา ซึ่งที่นั่นเองที่ทำให้เขาใช้ฟุตบอลเป็นเครื่องนำพาชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

ด้วยพรสวรรค์บวกกับพรแสวง - อัลฟอนโซ่ ค่อยๆ พัฒนาตัวเองในทุกๆ การฝึกซ้อม กระทั่งถูกเรียกติดทัพแคนาดา ในชุดเยาวชน ก่อนจะได้รับสัญชาติในปี 2017 และก็เล่นให้ทีมชาติชุดใหญ่ในปีนั้นเลย 

ความเก่งกาจของเขาย่อมอยู่ในสายตาแมวมองของสโมสรในยุโรป และก็มีมากมายก่ายกองยื่นข้อเสนอเข้ามา โดยเฉพาะในอังกฤษ ที่ทั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล รวมไปถึง เชลซี ส่งทีมงานมาซุ่มดูฟอร์มถึงขอบสนาม แต่สุดท้ายเจ้าตัวเลือกเซ็นสัญญากับ บาเยิร์น มิวนิค ก่อนจะถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดของยุคปัจจุบัน

จากการโยกย้ายในชีวิต นั่นเท่ากับว่า อัลฟอนโซ่ สามารถเลือกเล่นให้ทีมชาติไลบีเรีย ตามชาติพันธุ์ ซึ่งเป็นประเทศเดียวกับ จอร์จ เวห์ แอฟริกัน บัลลง ดอร์ หนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์ หรือไม่ก็จิ้มไปที่กานา อันเป็นสถานที่กำเนิด แต่สุดท้ายเขาตัดสินใจรับใช้แคนาดา และตอนนี้ก็ลงสนามไปถึง 39 เกม ทั้งๆ ที่อายุเพียง 22 ปี เท่านั้น

__________

[ 3 ] จอห์น บาร์นส์ (จาไมกา)

จริงๆ แล้ว จอห์น มีเชื้อสายตรินิแดด แอนด์ โตเบโก เนื่องจาก เคนนิค คุณพ่อของเขาอพยพมาอยู่จาไมกา และก็พบรักกับ ฟรานเซส ผู้เป็นคุณแม่ และก็ให้กำเนิด บาร์นส์ น้อยขึ้นมา

ด้วยความที่บิดาเป็นนักกีฬา เพราะเล่นได้ดีทั้งฟุตบอลและสคอว์ช ทำให้ จอห์น ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ และพออายุได้ 12 ขวบ ครอบครัวของเขาย้ายมาอังกฤษ ซึ่งทำให้เจ้าตัวได้รู้จักกับรักบี้ และก็เกือบหันเหไปทางนั้นเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม จอห์น หลงใหลในกลิ่นของลูกหนังมากกว่า เขาจึงมุ่งหน้าเอาดีกับฟุตบอลแบบเต็มตัว และเมื่อบวกกับพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ ความเก่งกาจของเด็กหนุ่มเชื้อสายจาไมกา ค่อยๆ ฉายแสงกับ วัตฟอร์ด จนก้าวไปติดทีมชาติอังกฤษ รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี ก่อนจะได้เป็นพลเมืองอิงลิช กระทั่งถูกเรียกติดทัพสิงโตคำรามชุดใหญ่ในวัย 20 ปี เท่านั้น

ลีลาลากเลื้อยของเขาโดดเด่นสะดุดตาจนได้ย้ายไปเล่นกับ ลิเวอร์พูล ก่อนจะพาหงส์แดงคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ 2 สมัย โดยที่ตนเองได้รับเลือกให้เป็น 'ผู้เล่นยอดเยี่ยม' ในปี 1988 

อย่างไรก็ตาม ก่อนจะได้สัญชาติอังกฤษ และลงสนามในนามทัพ ทรี ไลอ้อนส์ ไป 79 เกม แต่ก็มีข่าวซุบซิบเช่นกันว่าในช่วงวัยรุ่น สกอตแลนด์ ได้ส่งหนังสือเชื้อเชิญ จอห์น ให้ไปวาดลวดลายเช่นกัน ซึ่งนั่นเกิดขึ้นก่อนที่ เอฟเอ จะยื่นข้อเสนอมาให้ด้วยซ้ำ

__________

[ 4 ] อันซู ฟาติ (กินี-บิสเซา)

เจ้าหนูมหัศจรรย์ผู้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ของทีมชาติสเปน และ บาร์เซโลน่า ชุดปัจจุบัน ทว่าจริงๆ แล้วถิ่นกำเนิดของ อันซู นั้นอยู่ที่บิสเซา นครหลวงกีนี-บิสเซา ประเทศที่มีพื้นที่ติดชายทะเลทางตะวันตกของทวีปแอฟริกา

ชีวิตของเขาในวัยเด็กนับว่าลำบากไม่น้อย เพราะต้องอพยพมาอยู่เมืองเซบีญ่า ประเทศสเปน ตั้งแต่อายุเพียง 6 ขวบ โดยที่ โบริ ผู้เป็นพ่อ ซึ่งเป็นนักเตะเหมือนกัน แต่ไม่ได้เก่งกาจนัก เพราะเล่นอยู่ในลีกระดับล่างๆ 

อย่างไรก็ตาม โบริ ต้องดิ้นรนสุดฤทธิ์เพื่อลูกๆ ของตนเอง กระทั่งวันหนึ่งได้รับข้อเสนอจากนายกเทศมนตรีเขตมารินาเลด้า ซึ่งอยู่ในเซบีญ่า นั่นแหละ ให้ไปเป็นคนขับรถ มันจึงเป็นจุดเปลี่ยนของครอบครัว ฟาติ

อันซู ได้รับการสนับสนุนเต็มเหนี่ยว และเมื่อบวกกับพรสวรรค์ที่มี เขาจึงโดดเด่นกว่าใครในรุ่นเดียวกัน กระทั่งอายุ 12 ขวบ ก็ถูกดึงตัวเข้าสู่ ลา มาเซีย สถาบันเยาวชนของ บาร์เซโลน่า ที่ปลุกปั้นนักเตะระดับโลกมาแล้วมากมาย

พัฒนาการของเขารุดหน้าอย่างไวว่อง ได้ลงเล่นให้บาร์ซ่าตั้งแต่อายุเพียง 17 และได้สัญชาติสเปน เมื่อปี 2019 ซึ่งทำให้ถูกเรียกติดทีมกระทิงดุชุดยู-21 ทันที โดยที่ปีต่อมาก็ประเดิมทีมชาติชุดใหญ่ แถมยังยิงประตูได้ตั้งแต่เกมที่สองที่เล่นให้ทัพ รา โรฆา อีกต่างหาก

__________

[ 5 ] มาร์กอส เซนน่า (บราซิล)

นี่คือนักเตะผู้เป็นตัวจุดประกายความยิ่งใหญ่ของทีมชาติสเปน ที่สามารถคว้าแชมป์รายการระดับเมเจอร์ได้ถึง 3 ทัวร์นาเมนต์ ในระยะเวลาเพียง 6 ปี เท่านั้น (ยูโร 2 สมัย + เวิร์ล คัพ 1 ครั้ง)

ก่อนที่ เซนน่า จะกลายเป็นฟันเฟืองชิ้นสำคัญของทัพกระทิงดุ เขาเองก็ตกระกำลำบากกับการค้าแข้งในบ้านเกิดบราซิล พอสมควร เพราะย้ายสโมสรเป็นว่าเล่น ไล่ตั้งแต่ ริโอ บลังโก้ เอสพี, อเมริกา เอสพี, โครินเธียนส์, จูเวนตูเด้ และ เซา คาเอจาโน่ 

กระทั่งปี 2002 - เขาข้ามน้ำข้ามทะเลมาสเปน และมีปลายทางคือ บียาร์เรอัล โดยตอนนั้นเจ้าตัวกำลังเข้าสู่วัย 26 ซึ่งถือเป็นอายุที่กำลังพอเหมาะพอดีกับนักเตะในตำแหน่งกองกลาง

ผลงานในระดับสโมสรของ เซนน่า อยู่ในมาตรฐานระดับสูงกับบทบาทมิดฟิลด์ตัวรับที่ทำให้งานของกองหลังเบาลง แถมยังสร้างประโยชน์ให้กับแนวรุกของทีมได้เป็นอิสระในการเล่น 

ด้วยฟอร์มปี 2006 ทำให้เขาได้รับสัญชาติสเปน และก็ถูก หลุยส์ อาราโกเนส กุนซือของทีมชาติชุดใหญ่เรียกติดทีมทันที แถมยังได้ไปตะลุย เวิร์ล คัพ 2006 อีกต่างหาก

ทว่าทัวร์นาเมนต์แจ้งเกิดของ เซนน่า คือ ยูโร 2008 ที่เล่นกองกลางตัวรับได้โดดเด่นเหลือเกิน จนทำให้ ชาบี เอร์นานเดซ และ เชส ฟาเบรกาส เดินเกมรุกได้สะดวก แถมยังทำให้ การ์เลส ปูโยล กับ การ์ลอส มาร์เชน่า คู่เซนเตอร์ฮาล์ฟอุ่นใจ

สเปน คว้าแชมป์ยุโรป ได้สำเร็จ ก่อนที่จะต่อเนื่องถึงฟุตบอลโลก 2010 และยังได้โทรฟี่ ยูโร 2012 อีกต่างหาก ซึ่งทั้งหมดนั้นมีจุดตั้งต้นจากการทำงานแบบ 'ปิดทองหลังพระ' ของนักเตะที่ชื่อ มาร์กอส เซนน่า นั่นเอง 

__________

[ 6 ] เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ (อังกฤษ)

ศูนย์หน้าหมายเลข 1 ของโลกคนปัจจุบัน เป็นลูกชายแท้ๆ ของ อัลฟ์-อิงเก้ ฮาลันด์ อดีตกองกลางจอมบู๊ของทีมชาตินอร์เวย์ ในยุค 90'

ด้วยความที่คุณพ่อของ เออร์ลิ่ง ค้าแข้งในอังกฤษ ยาวนานนับสิบปี โดยเริ่มจาก น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์, ลีดส์ ยูไนเต็ด และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำให้ช่วงนั้นเองที่เพชฌฆาตคนนี้ถือกำเนิดขึ้นมา

ฮาลันด์ เกินเดือนมิถุนายน 2000 ซึ่งเป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างที่ อัลฟ์-อิงเก้ กำลังจะย้ายจาก ลีดส์ ไป ซิตี้ 

แน่นอนว่าการได้สัญชาติอังกฤษ จากการกำเนิด ทำให้เขาเลือกที่จะเล่นให้ทีมสิงโตคำรามก็ได้ ซึ่งมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติมากกว่า ทว่า เออร์ลิ่ง กลับเลือกนอร์เวย์ ซึ่งเป็นชาติพันธุ์ของตนเอง

เหตุผลที่ตัดสินใจเช่นนั้น ก็เพราะเจ้าตัวย้ายกลับไปอยู่ที่ ไบรน์ บ้านเกิดของคุณพ่อของเขา จึงทำให้มีความผูกพันกับที่นั่นมากว่าอังกฤษ นั่นเอง

"ผมภูมิใจที่เป็นคนนอร์เวย์" นี่คือส่วนหนึ่งในประโยคที่เขาเคยกล่าวไว้เมื่อถูกตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงไม่เลือกอังกฤษ

ทว่าถ้าลองจินตนาการว่าถ้า เออร์ลิ่ง เลือกจะเล่นให้อังกฤษ - ทัพ ทรี ไลอ้อนส์ คงจะเป็นที่อิจฉาตาร้อน โทษฐานที่มีศูนย์หน้าระดับโลกอยู่พร้อมๆ กันถึงสองคน เพราะอีกรายก็คือ แฮร์รี่ เคน นั่นเอง

__________

[ 7 ] อิวาน ราคิติช (สวิตเซอร์แลนด์)

สวิตเซอร์แลนด์ คือดินแดนสวรรค์ของผู้คน การจัดอันดับประเทศที่ประชากรมีความสุขที่สุดในโลก พวกเขาก็ติดอยู่ลำดับต้นๆ เสมอ 

นอกจากจะเป็นเมืองที่ศิวิไลซ์สำหรับผู้คนทั่วไปแล้ว ที่นั่นยังเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ต้อนรับผู้อพยพจากทุกสารทิศอีกต่างหาก โดยหนึ่งในนั้นมีครอบครัว ราคิติช ซึ่งมาจากโครเอเชีย รวมอยู่ด้วย

เขาเกิดที่ไรน์เฟลเด้น เมืองทางตอนเหนือของสวิตเซอร์แลนด์ และนั่นเองที่ทำให้ อิวาน ได้เข้าไปเป็นนักเตะในสถาบันเยาวชนของ บาเซิ่ล สโมสรดังของประเทศ

ผลงานกับทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี ทำให้เขาได้รับการติดต่อจากทีมในยุโรป มากมาย แต่สุดท้ายเจ้าตัวเลือกที่จะอยู่กับ บาเซิ่ล ต่อ เพื่อโอกาสในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งได้ขึ้นไปเล่นให้ชุดใหญ่ในปี 2005 โดยตอนนั้น อิวาน อายุเพียง 17 เท่านั้น

ด้วยความเก่งเกินวัย เขาถูก ชาลเก้ ยักษ์ใหญ่ของเยอรมัน ทุ่มซื้อไปร่วมทัพในปี 2007 (อายุ 19) และก็เป็นกำลังหลักของทีมในทันที พร้อมกับแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวอีกต่างหาก โดยในปีเดียวกัน อิวาน ก็ตัดสินใจเลือกเล่นให้โครเอเชีย ภายใต้การคุมทัพของ สลาเวน บิลิช

อิวาน ประสบความสำเร็จกับทีมตราหมากรุกพอสมควร โดยเฉพาะการทะลุถึงการเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2018 ก่อนจะปราชัยต่อฝรั่งเศส ไปอย่างน่าเสียดาย 2-4 แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็สะสมสถิติรับใช้โครเอเชีย ไปมากถึง 105 เกม เลยทีเดียว

__________

[ 8 ] มิโรสลาฟ โคลเซ่ (โปแลนด์)

เขาคือนักเตะประวัติศาสตร์ของวงการลูกหนังโลก กับการครองสถิติ 'ผู้ทำประตูรวมสูงสุด' ใน เวิร์ล คัพ (16 ประตู) และรวมไปถึงยังเป็น 'ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาล' (71 ประตู) ของทีมชาติเยอรมัน 

อย่างไรก็ตาม มิโรสลาฟ เกิดที่ซิเลเซีย ประเทศโปแลนด์ คู่รัก-คู่แค้นของเยอรมัน นั่นเอง 

พรสวรรค์ทางด้านกีฬาของเขาได้มาจากครอบครัวล้วนๆ - คุณพ่อเป็นอดีตนักฟุตบอล ทั้งยังเคยเล่นให้ โอแซร์ ทีมดังของฝรั่งเศส ส่วนคุณแม่ก็เป็นนักแฮนด์บอลทีมชาติโปแลนด์ อีกด้วย

ทว่าผลพวงจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ครอบครัว โคลเซ่ ต้องอพยพถิ่นฐาน ซึ่งตัว มิโรสลาฟ ก็ต้องย้ายสู่เยอรมัน ตอนอายุ 8 ขวบ โดยตอนนั้นเขาพูดภาษาด๊อยช์ท ได้เพียง 2 คำเท่านั้น

ฟุตบอลคือกีฬานำพาความสำเร็จมาสู่ตัวเขาและครอบครัว โดยเฉพาะระดับทีมชาติที่ได้แชมป์โลกกับ เยอรมัน 1 สมัย (2014), รองแชมป์ 1 ครั้ง (2002) และอันดับ 3 อีก 2 หน (2006, 2010) ซึ่งนั่นคือมาตรฐานที่สูงลิ่วยากต่อใครเทียบเทียม

__________

[ 9 ] ปาทริก วิเอร่า (เซเนกัล)

เด็กหนุ่มจากกรุงดาการ์ นครหลวงของประเทศเซเนกัล ที่วันหนึ่งได้กลายเป็นนักฟุตบอลระดับโลก ผู้ซึ่งถูกยกย่องถึงความยอดเยี่ยมในเรื่องของฝีเท้าว่าไม่เป็นสองรองใครในปฐพี

ครอบครัวของเขามีพื้นเพมาจากเซเนกัล และย้ายสู่ฝรั่งเศส ตอนที่ ปาทริก อายุเพียง 8 ขวบ อย่างไรก็ตาม คุณพ่อและคุณแม่ของเขาแยกทางกัน ทำให้เจ้าตัวเลือกใช้นามสกุล วิเอร่า ซึ่งเป็นของฝั่งมารดา 

ปาทริก ได้สัญชาติฝรั่งเศส จากการที่คุณปู่ของเขาเคยทำงานให้กองทัพเมื่อในอดีต และนั่นทำให้เจ้าตัวเริ่มต้นด้วยการเล่นทีมเยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี ให้กับทัพ เลอส์ เบลอส์ ก่อนจะก้าวไปติดทีมชาติชุดใหญ่ในเวลาต่อมา

เขาประสบความสำเร็จทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ เพราะได้แชมป์กับ อาร์เซน่อล รวมไปถึง อินเตอร์ มิลาน มากมาย ทั้งยังเป็นหนึ่งในขุนพลฝรั่งเศสชุด เวิร์ล คัพ 1998 

__________

[ 10 ] ยูเซบิโอ้ (โมซัมบิก)

ตำนานผู้ยิ่งยงตลอดกาลของทีมชาติโปรตุเกส แต่เขาเกิดที่มาปูโต้ เมืองหลวงของโมซัมบิก ประเทศทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปแอฟริกา 

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่โมซัมบิก เป็นประเทศที่อยู่ภายใต้การปกครองของโปรตุเกส ก่อนจะได้รับเอกราชในปี 1975 ทำให้เหตุนี้เองที่ ยูเซบิโอ้ ถูกดึงตัวมาเล่นให้กับทัพฝอยทอง

ความสำเร็จของศูนย์หน้าพระกาฬคนนี้คือการได้แชมป์ลีกโปรตุเกส ร่วมกับ เบนฟิก้า ถึง 11 สมัย, เอฟเอ คัพ 5 สมัย และ ยูโรเปี้ยน คัพ (ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปัจจุบัน) อีก 1 สมัย 

ส่วนในระดับชาติ เขาพาโปรตุเกส คว้าอันดับ 3 เวิร์ล คัพ 1966 ส่วนตัวเองได้รางวัล 'รองเท้าทองคำ' กับการยิงไป 9 ประตู จาก 6 เกม

เกียรติยศส่วนบุคคลของ ยูเซบิโอ้ ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะนอกจากจะได้ บัลลง ดอร์ ซึ่งถือเป็นนักเตะโปรตุเกส คนแรกที่ถูกรับเลือกในปี 1985 เขายังเป็นดาวซัลโวโปรตุเกส ถึง 7 ครั้ง, ดาวซัลโว ยูโรเปี้ยน คัพ 3 ครั้ง และอื่นๆ อีกมากมาย


ที่มาของภาพ : getty images
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport