เรียกได้ว่ายังทำผลงานได้ยอดเยี่ยมสำหรับ ลิโอเนล เมสซี่ กองหน้ากัปตันทีมชาติอาร์เจนตินา หลังจากทำประตูช่วยให้ทีมขึ้นนำ โครเอเชีย 1-0 ก่อนที่สุดท้ายจะช่วยให้ "ฟ้า-ขาว" เอาชนะไปไปได้ 3-0 ในการลงเล่นรอบรองชนะเลิศของศึก ฟุตบอลโลก 2022
ผลงานจากนัดดังกล่าวส่งผลให้ เมสซี่ ทำลายหรือทาบสถิติได้หลายอย่าง โดยหนึ่งในนั้นคือการที่เขากลายเป็นคนที่ 6 ในประวัติศาสตร์ที่สามารถทำประตูได้ทั้งในรอบ 16 ทีมสุดท้าย, รอบก่อนรองชนะเลิศ และรอบรองชนะเลิศ ของทัวร์นาเมนท์เดียวกัน นับตั้งแต่ที่รายการ ฟุตบอลโลก เริ่มมีการแข่งรอบ 16 ทีมสุดท้ายตั้งแต่ปี 1986 เป็นต้นมาเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ในบรรดา 5 รุ่นพี่ของ เมสซี่ นั้น มีเพียงแค่ 2 คนเท่านั้นที่สามารถทำประตูได้ "ครบทุกนัด" กับการลงเล่นรอบน็อคเอาท์ของ ฟุตบอลโลก ซึ่งแน่นอนว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่ทำกันได้ง่ายๆ
คนแรกที่ทำอย่างนั้นได้คือ ซัลวาตอเร่ สกิลลาชี่ อดีตกองหน้าทีมชาติอิตาลี โดยก่อนหน้าที่จะถึงศึก ฟุตบอลโลก 1990 ที่ประเทศอิตาลีเป็นเจ้าภาพนั้น เขาทำผลงานได้น่าประทับใจกับ ยูเวนตุส พอดี ด้วยการกดไป 15 ลูกจากการลงเล่นใน กัลโช่ เซเรีย อา 30 นัด และนั่นก็ถือเป็นครั้งแรกที่แข้งวัย 25 ปีได้สัมผัสกับศึก ฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายด้วย
ทั้งนี้ ในรอบแบ่งกลุ่ม สกิลลาชี่ เล่นได้โดดเด่นด้วยการทำได้ 2 ประตูจนทำให้ อิตาลี เป็นแชมป์ของกลุ่ม เอ และในรอบ 16 ทีมสุดท้ายกับ อุรุกวัย นั้น เขาก็เป็นคนทำประตูขึ้นนำให้กับทีมก่อนที่เจ้าภาพจะชนะไป 2-0
พอถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ สกิลลาชี่ สวมบทพระเอกให้กับ อิตาลี ด้วยการทำประตูชัยให้ทีมได้ตั้งแต่ในนาทีที่ 38 จนทำให้ อิตาลี เอาชนะ สาธารณรัฐไอร์แลนด์ ไปได้ 1-0 ขณะที่ในรอบรองชนะเลิศนั้นเขาก็เป็นคนทำประตูขึ้นนำให้ทีมในเกมที่เจอกับ อาร์เจนตินา ด้วย
น่าเสียดายที่สุดท้าย อิตาลี ไม่สามารถรักษาสกอร์ได้หลังจาก เคลาดิโอ คานิกเกีย ตีเสมอให้กับ อาร์เจนตินา ในนาทีที่ 67 ก่อนที่ อิตาลี จะไปแพ้ช่วงดวลจุดโทษ โดยที่ตอนนั้น สกิลลาชี่ ไม่ได้เป็นหนึ่งใน 5 มือสังหารของ อิตาลี
ถึงกระนั้น ในนัดชิงอันดับ 3 สกิลลาชี่ ก็เป็นคนทำประตูชัยให้ อิตาลี เอาชนะ อังกฤษ ไปได้ 2-1 จากการยิงลูกจุดโทษในนาทีที่ 86 ส่งผลให้เขายิงในรอบน็อกเอาท์ได้ครบทุกเกม แถมถ้านับรวมรอบแบ่งกลุ่มเข้าไปด้วยมันก็มีเพียงนัดเดียวเท่านั้นที่ชื่อของเขาไม่ได้อยู่บนสกอร์บอร์ด ทำให้ใน ฟุตบอลโลก 1990 เขาเป็นดาวซัลโวสูงสุดด้วยผลงาน 6 ประตู
ส่วนคนที่ 2 ที่ยิงในรอบน็อกเอาท์ได้ครบทุกนัดเป็นคนที่แฟนบอลบางคนน่าจะคุ้นหูเป็นอย่างดี เขาคือ ดาวอร์ ซูเคอร์ อดีตกองหน้าทีมชาติโครเอเชีย โดยเจ้าตัวเคยทำอย่างนั้นได้เมื่อปี 1998
ครั้งนั้นถือเป็นการลงเล่น ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ครั้งแรกของ โครเอเชีย ภายหลังแยกตัวออกมาจาก ยูโกสลาเวีย แต่ ซูเคอร์ ก็ทำผลงานได้โดดเด่นในรอบแบ่งกลุ่มด้วยการทำไป 2 ประตู นั่นคือในเกมที่ชนะ จาไมก้า 3-1 และวันที่เฉือน ญี่ปุ่น 1-0 แม้ว่านัดสุดท้ายเขาจะเท้าบอดจนทีมแพ้ อาร์เจนตินา 0-1 แต่ทัพ "ตาหมากรุก" ก็ยังได้เข้าสู่รอบน็อคเอาท์ในฐานะรองแชมป์กลุ่ม เอช
ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย โครเอเชีย เจอกับ โรมาเนีย ที่นำมาโดยนักเตะอย่าง แดน เปเตรสคู แต่ ซูเคอร์ ก็พาทีมเก็บชัยชนะได้ 1-0 จากลูกจุดโทษของเขาในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ส่วนในรอบก่อนรองชนะเลิศ ซูเคอร์ ก็เป็นคนยิงประตูปิดท้ายให้ทีมชนะ เยอรมนี 3-0 อีก
ในรอบรองชนะเลิศ โครเอเชีย ไปชนกับเจ้าภาพอย่าง ฝรั่งเศส ซึ่ง ซูเคอร์ สามารถทำประตูขึ้นนำให้กับทีมได้ในนาทีที่ 46 แต่สุดท้าย โครเอเชีย มาโดนทีเด็ดของ ลิลิย็อง ตูราม ที่เหมาคนเดียว 2 ประตูให้กับ "เลส์ เบลอส์" จนทำให้พวกเขาแพ้ไปแบบสุดชอกช้ำ
ในนัดชิงอันดับ 3 โครเอเชีย โคจรมาเจอกับ เนเธอร์แลนด์ ซึ่ง ซูเคอร์ ก็ปิดฉากทัวร์นาเมนท์ได้อย่างสวยงามด้วยการทำประตูให้ทีมขึ้นนำ "อัศวินสีส้ม" เป็น 2-1 ในนาทีที่ 36 ก่อนที่เกมจะจบลงด้วยสกอร์นั้น และแน่นอนว่ารางวัลรองเท้าทองคำก็ตกเป็นของเขาด้วยการทำได้ 6 ประตู
จะเห็นได้ว่าตอนนี้ เมสซี่ มีโอกาสทาบผลงานได้ทุกอย่างของทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นการมีลุ้นทำได้ 6 ประตู (ตอนนี้ยิงไปแล้ว 5 ลูก), การได้รางวัลดาวซัลโวสูงสุดของรายการ, การยิงในรอบน็อคเอาท์ได้ครบทุกนัด และการทำสกอร์ไม่ได้แค่นัดเดียวตลอดทั้งทัวร์นาเมนท์
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ เมสซี่ ต่างจาก สกิลลาชี่ กับ ซูเคอร์ ก็คือเขากำลังมีลุ้นทำสถิติเหล่านั้นใน "นัดชิงชนะเลิศ" ส่วนรุ่นพี่ทั้ง 2 คนไปทำอย่างนั้นได้ในนัดชิงอันดับ 3 ก็ต้องรอดูกันว่าสุดท้ายแล้วตอนจบในการเดินทางครั้งนี้ของ เมสซี่ จะเป็นแบบไหนกันแน่
- เด็กเกร็ดบอล -