โมรอกโก ตัวแทนชาวแอฟริกัน ตัวแทนชาวอาหรับ เข้ารอบรองชนะเลิศเป็นประวัติศาสตร์ สร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนบอลทั่วโลก กระแสของพวกเขามาแรง ร้อนจนประธานาธิบดี เอมมานูเอล มาครง ต้องมาลุ้นให้กำลังใจทีมฝรั่งเศสข้างๆ ประธานฟีฟ่า กันเลยทีเดียว
เกิดอะไรขึ้นบ้างในเกมนี้
1 วาหลิดปรับเล่น 5-4-1
ระบบพื้นฐานที่ส่ง โมรอกโก เข้ามาถึงรอบรองชนะเลิศคือระบบ 4-3-3ที่เมื่อรับเชปเกมรับจะเป็น 4-5-1 เพราะปีกสองข้างทั้ง บูฟาล และ ซีเย็ค ลงมาช่วยเกมรับ แต่เกมนี้ วาหลิด เรกรากุย โค้ชปรับระบบเป็น 5-4-1 จัดเซนเตอร์ลงเล่นพร้อมกันสามคน ตอนแรกมีชื่อ อาเกิร์ด ยืนฝั่งขวา แต่พอลงสนามปรากฏว่ากลายเป็น อาชราฟ ดารี , ซาอิส ยืนตรงกลาง และ ยามิค ยืนฝั่งซ้าย โดย ฮาคีมี รับบทวิงแบ๊กขวา และ มาสราอุย วิงแบ๊กซ้าย
แดนกลางสี่คน ซีเย็ค, อูนาฮี, อัมราบัต และ บูฟาล โดยพัก อมัลลาห์ ส่วนหน้าเป้า เอล เนสรี
2 เดสชองป์ ปรับ 2 คน
ตามข่าวแจ้งว่า อูปาเมกาโน กับ ราบิโอต์ ไม่สบาย ไม่มีชื่อลงเล่นเกมนี้ทำให้ โกนาเต้ ได้โอกาสลงสนามยืนกับ ราฟาแอล วาราน แดนกลางเป็น โฟฟานา จากโมนาโก ที่เคยเล่นกับ ชูเอาเมนี มาแล้วยืนด้วยกัน นอกนั้นชุดเดิม ทั้ง กรีสมันน์, เดมเบเล, เอ็มบัปเป และ ชิรูด์
3 ม้ามืดโดนเร็ว
การปรับมาเล่นหลังห้า...อาจแสดงถึงความกังวลของโค้ช วาหลิดต่อเกมรุกฝรั่งเศสอย่างมาก อีกทั้ง โรแมง ซาอิส กัปตันทีมที่เป็นหัวใจแนวรับนั้น...ไม่สมบูรณ์เหมือนเข็นลงสนาม เพราะก่อนแข่งมีรายงานข่าวว่าช่วงวอร์มอัพ เขาแยกวอร์มเดี่ยวอีกต่างหาก
นั่นทำให้การยืนตำแหน่งดูขัดๆ และนำไปสู่การเสียประตูแรก จังหวะที่ ยามิค สไลด์บอลพลาด เข้าทาง กรีสมันน์ โฉบเข้าเขตโทษแล้วปาดให้ เอ็มบัปเป ยิงแฉลบ ก่อนอัดติดเซฟโบโน บอลลอยเข้าทาง เตโอ แอร์นองเดส วอลเลย์เข้าประตู
จังหวะนั้น แอนดี้ ทาวน์เซนด์ อดีตกองกลางทีมชาติไอร์แลนด์ บอกว่า โบโน น่าจะขยับเข้าหาเร็ว เพื่อปิดมุม แต่พอรอ บอลเลยเข้าทาง เตโอ ที่ได้ยิงง่ายๆ ขึ้นนำ 1-0 แค่นาทีที่ 5
สุดท้าย...การใช้เซนเตอร์ 3 คนครั้งแรกต่อทีมรุกที่ดีสุดอีกทีมในบอลโลกทำให้พวกเขาเสียประตู และต้องเปลี่ยน ซาอิส ออกนาทีที่ 20 แล้วเลือก อมาลลาห์ แดนกลางลงมาเล่นแทน แล้วปรับระบบกลับมาเป็น 4-3-3
4 โมรอกโกสวนกลับไม่ได้
จุดหนึ่งที่ขาดหายไปคือเกมสวนกลับของ โมรอกโก เพราะฝรั่งเศสพอขึ้นนำ เล่นบอลเขี้ยวทันที เน้นช้า แล้ว4 กองหลังไม่ขึ้น แม้ โมรอกโก ตัดบอลได้จะสวนเร็ว ทำไม่ได้ เพราะกองหลังฝรั่งเศสยืนปิดพื้นที่ได้ดี ดีเลย์เกมสวนกลับได้
จุดเด่นอย่างเกมสวนกลับจึงไม่มี ลุ้นได้จากลูกเตะมุมและฟรีคิกเท่านั้นที่พอกดดันฝรั่งเศสได้
5 ทีมน้ำหอมเขี้ยวลากดิน
โดยเฉพาะแดนสองนี่สำคัญเลย ฝรั่งเศสคุมพื้นที่ แล้วบีบให้โมรอกโก ออกบอลเร็ว หลายครั้งเสียบอลให้ฝรั่งเศส กลับมาตั้งเกมกันใหม่ แดนหลังออกบอลช้า แล้วรอจังหวะโจมตี ไม่เร่งรีบอะไร หลังขึ้นนำ
ยิ่งครึ่งหลังยิ่งชัด รับแดนสองเป็นหลัก หลายจังหวะถอยรับลึกหน้าเขตโทษ ให้ โมรอกโก ได้ครองบอล รอจังหวะโมรอกโกเสียบอลแล้วสวนกลับขึ้นมา กลายเป็นทีมม้ามืดบุกเข้าหา อย่างเดียว บางช่วงครองบอลถึง 70% มากกว่าฝรั่งเศส
6 ปรับ M ศูนย์หน้า
เหลืออีก 20 นาที เดสชองป์ ปรับแทกติก เอาตัวสดอย่าง มาร์คัส ตูราม ลงเล่นแทน โอลิวิเยร์ ชิรูด์ กลายเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เมื่อคุณพ่อ ลิลิยง ชุดแชมป์โลก 1998 ยิงโครแอต สองลูก แต่การลงมาของ มาร์คัส คือเล่นปีกแล้ว ขยับ เอ็มบัปเป ไปยืนหน้าเป้า เกมด้านข้างก็วูบวาบดี
7 โคโล มัวนี 44วินาที
จังหวะการเสียบอลในแดนตัวเองของ โมรอกโก โดน โฟฟานา ตัดบอลได้แล้ว พาทะลุมาถึง เอ็มบัปเป กับ ตูราม เล่นกัน ก่อน เอ็มบัปเป พาบอลโยกหลบโมรอกโกสามองสามคนก่อนไหลบอลไปเสาสอง ถึงโดยตัวสำรองที่ชื่อ โคโล มัวนี กองหน้าจากแฟร้งค์เฟิร์ต ที่ลงมาแทน เดมเบเล กับการติดทีมชาตินัดที่ 4 ใช้เวลาในสนาม 44 วินาที แปลูก 2-0
เป็นตัวสำรองที่ยิงเร็วสุดต่อจาก เอบเบ ซานด์ 26 วินาที ที่เดนมาร์ก ยิงไนจีเรีย ปี1998
เหลือเชื่อที่ เอ็มบัปเป้ คนส่ง และ มัวนี่ คนยิง มาจากท้องถิ่นที่ชื่อ Bondy ชานกรุงปารีส !!!!
ประตูแรกในทีมชาติ
ประตูที่สองที่ส่งฝรั่งเศสเข้าชิงชนะเลิศ
จบข่าววว
เข้าใจว่าถึงจุดนี้แล้วคนโมรอกโก มีความหวังในการลุ้นเข้าชิงชนะเลิศบอลโลกครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แต่เมื่อมาถึงจุดนี้พวกเขามาได้ไกลเกินคาดแล้ว ไม่มีอะไรต้องเสียใจ
พวกเขาเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะเมื่อโดนนำแล้วต้องเดินเข้าหา ทั้งที่รู้ว่ามันก็มีความเสี่ยงกับการโดนฝรั่งเศสสวนกลับ แต่พวกเขาพยายามมุ่งมั่นและทำเกมรุกบุกเข้าหา สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้บอลคุณภาพที่ผ่านศึกโชกโชนอย่างฝรั่งเศส
เอาละครับ...คู่ชิงชนะเลิศไม่มีพลิกโผ
เต็งสอง อาร์เจนติน่า ปะทะ เต็งสาม ฝรั่งเศส
ลุ้นแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่สามของทั้งสองทีม
จะเป็นบอลโลกของ เมสซี หรือเป็นบอลโลกที่ทีมแชมป์เก่าป้องกันแชมป์ได้ครั้งแรกต่อจากบราซิล 1962
18 ธ.ค. เวลาดีสี่ทุ่มตรง
รอลุ้นกัน