โค้ชวาลิด เรกรากุย และขุนพล โมร็อคโก รวมทั้งแฟนบอลของพวกเขาร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่เป็น "ม้ามืด" ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายครั้งนี้ในฐานะหนึ่งในสี่ทีมสุดท้ายที่ยังคงอยู่ในกาตาร์ ขณะที่ชาติตัวเต็งทั้งหลายต่างทยอยกันกลับบ้านไปหมดแล้ว
นับจาก แคเมอรูน 1990, เซเนกัล 2002 และ กานา 2010 พวกเขาเหล่านี้ไปไกลแค่รอบ 8 ทีมสุดท้ายเท่านั้น แต่ทว่า โมร็อคโก ทีเด็ดมากกว่า พวกเขาเข้ารอบรองชนะเลิศ ด้วยการชนะทีมจากสองทวีปเลย
ยุโรปโดนไป 3 ทีม เบลเยียม, สเปน, โปรตุเกส ส่วน "รองแชมป์โลก" โครเอเชีย ก็เอาชนะพวกเขาไม่ได้ สี่ทีมนี้ล้วนแล้วแต่ตัวทอปทั้งนั้น ฟากคอนคาเคฟ คือ แคนาดา ก็ไม่รอด พวกเขายังไม่เจอเอเชีย แต่เชื่อว่าทรงนี้เจอใครก็ได้
โค้ชวาหลิด ที่พาทีมน้อคโปรตุเกสตกรอบบอกว่า "พวกเรากลายเป็นทีมที่ทุกคนรัก เพราะพวกเราแสดงให้เห็นในสิ่งที่พวกเราทำได้ หากคุณแสดงความกระหาย มีหัวใจและความเชื่อ คุณสามารถประสบความสำเร็จและนี่คือสิ่งที่นักเตะของผมมี"
"ชาวแอฟริกันและอาหรับ ทำงานหนัก พวกเราอยากให้คนทั้งชาติภูมิใจในสิ่งที่พวกเราทำ ทั้งทวีปยิ่งต้องภูมิใจกับพวกเรา เมื่อคุณมองดูการชกของ รอคกี้ บัลบัว คุณอยากหนุนหลังเขา และพวกเราคือ รอคกี้ ในบอลโลกครั้งนี้"
ว่ากันว่าเสียงตะโกนเชียร์ ภาษาอาหรับที่สนาม ดังไปทั่วโลก
"Seer, seer, (go, go)," หรือ ไป ไป
"Dima Maghrib (Forever Morocco)," หรือ โมร็อคโก ชั่วนิรันดร์
ผู้สันทัดกรณีที่อังกฤษต่างพากันชี้ชัดว่า โมร็อคโก ได้แรงหนุนจากแฟนบอลในสนาม ซึ่ง 80% เป็นคนโมร็อคโก พวกเขาหนุนหลังและสร้างแรงกระตุ้นให้นักเตะทุกคนเล่นด้วยความเชื่อมั่น
เสียงเชียร์คือพลังและทรงพลังจริงๆ
นี่ไม่ใช่แค่ทีมจากแอฟริกาทีมแรกที่เข้ารอบรองชนะเลิศ หากแต่พวกเขาคือทีมอาหรับทีมแรก และแน่นอนทีมมุสลิมทีมแรกของโลกเช่นกันที่มาถึงรอบสำคัญรอบนี้ได้
พวกเขามาด้วยความเชื่อแบบมุสลิม ในเส้นทางของ อัลกุรอาน ก่อนสู่ชัยชนะ
ภาพของการแสดงความขอบคุณต่อแฟนบอลด้วยการก้มลงกับพื้น อย่างที่เราเห็นในการละหมาด
นั่นคือการแสดงออกแบบ sujud หรือ สุญุด การนอบน้อมถ่อมตน สรรเสริญต่อองค์อัลเลาะห์ และเป็นการขอพรต่ออัลเลาะห์ รวมทั้งขจัดความทนงตน เย่อหยิ่ง ลืมตัว
ตามที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์ หรือ Inshallah (if God wishes) พี่น้องมุสลิม ออกเสียง อินชา อัลลาห์ (ผมดูซีรีส์ ตุรกี Ertugul พูดกันตลอดเวลา)
แน่นอนเหลือเกินว่า...นักเตะโมร็อคโกมาถึงกาตาร์ พร้อมกันกับหัวจิตหัวใจที่แกร่ง หลีกเลี่ยงการเป็นทีมรองบ่อนหรือรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยด้อยค่า ฟุตบอลทำให้พวกเขาลบภาพนี้
โดยเฉพาะกลุ่มคนโมร็อคโกที่อพยพกระจายกันไปอยู่ในยุโรป ในฐานะพลเมืองชั้นสองที่เจอความเหลื่อมล้ำอยู่เป็นต้นทุน นั่นเองที่ฟุตบอลทำให้การแสดงออกของพวกเขาชัดเจน
พวกเขาสามารถสู้กับทีมเต็งทั้งหลายได้อย่างสมน้ำสมเนื้อหาได้เป็นรองแต่อย่างไร
โค้ชวาลิด ที่คุมทีมไม่แพ้ใคร 8 เกมแถมเสียประตูหนึ่งลูกจากการทำเข้าประตูตัวเอง ของ อาเกิร์ด (เวสต์ แฮม) นัดที่ชนะแคนาดา 2-1 นอกนั้นไม่ทีมไหนยิงพวกเขาได้เลย ทั้งที่ วาลิด คุมทีมเมื่อ ก.ย.ไม่ถึงสามเดือนที่แล้ว
เขาพูดถึงลูกทีมตัวเองว่า
"นีคือทัวร์นาเม้นต์ที่ยากมาก พวกเราเล่นกับทีมชั้นยอดของโลก เอาจริงๆนะ พวกเราน่าจะโดนโปรตุเกสยิงได้ เราเกือบเสียประตูให้โปรตุเกสสองครั้ง กระนั้นพวกคุณต้องสู้ จึงจะสร้างทางของตัวเองได้"
"ผมมองว่าเราไม่ได้มาเพราะโชคช่วย เราทำงานหนัก เราทุ่มเทหัวใจลงไปในสนาม พวกเรามีความปรารถนาที่จะชนะในเกม พวกเรามีคนหนุนหลังทั้งทวีปและอาจทั่วโลกด้วยก็ได้"
มีคำถาม...ถึงทีมโมร็อคโก ว่าฝันถึงแชมป์โลกได้รึยัง
วาลิด บอกว่า "ทำไมละ พวกเราสามารถฝันถึงการคว้าแชมป์โลกได้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ แม้แชมป์ฟุตบอลโลกส่วนใหญ่เป็นทีมเต็ง ทีมใหญ่ พวกเรามีโอกาสลุ้นด้วยเหมือนกัน"
ถ้าหาก โมร็อคโก ทำได้....
นี่คือครั้งแรกที่แชมป์มาจากทีม "ม้ามืด" และคือ "เทพนิยาย" บทแรกของฟุตบอลโลก
ตั้งแต่ปี 1930 ยังไม่มีทีมเต็งทีมไหนหลุดจากตำแหน่งแชมป์บอลโลกเลย...สักครั้งเดียว บราซิล, เยอรมนี, อิตาลี,อาร์เจนติน่า, ฝรั่งเศส, อุรุกวัย, อังกฤษ,สเปน ต่างคว้าแชมป์ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมในยุคของตัวเอง
หรือครั้งนี้บอลโลกในทะเลทราย....
เทพนิยายลูกหนังกำลังจะถูกเขียนขึ้นมา
JACKIE