ย้อนไปในรอบแบ่งกลุ่มนัดที่สองซึ่งวันนั้นถือเป็นครั้งแรกก็ได้ที่โมร็อกโกทำให้หลายคงต้อนหันมามองและชื่นชมภายหลังทุบเอาชนะเบลเยี่ยม2-0
ผมอยู่ในสนามเกมนั้นด้วย ผ่านมาถึงตรงนี้กับอีกไม่ถึงสัปดาห์ฟุตบอลโลกฉบับทะเลทรายต้องปิดฉากลงแล้วก็ยังรู้สึกเสมอว่านั่นเป็นหนึ่งในวันที่ประทับใจเราที่สุด คือไม่ใช่แต่ว่าผลการแข่งขันที่พลิกล็อกแต่เป็นบรรยากาศอันยอดเยี่ยมจากรอบด้านต่างหาก
"พวกเรามากาตาร์กันไม่น่าต่ำกว่าห้าหมื่นคนได้ มีบางคนที่มาแล้วไม่ได้มีตั๋วเข้าสนามก็มีแต่คุณดูมองดูได้เลยว่าในสนามมีแต่พวกเราแทบทั้งนั้น มีแฟนเบลเยี่ยมสักกี่คนกัน นี่คือแพสชั่นของพวกเราโมร็อกโกซึ่งอยากแสดงออกให้รู้ว่าก็บ้าฟุตบอลไม่แพ้ใคร"
"โมร็อกโกอยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกาถัดจากเราไปก็มีแอลจีเรีย, ตูนิเซีย, ลิเบียและอียิปต์ ก็โดยเครื่องบินก็ราว7-8ชั่วโมงได้ในการมากาตาร์"
คำอธิบายจากแฟนหนุ่มรูปร่างเจ้าเนื้อนั่งห่างไปไม่กี่เก้าอี้จากเพรสบ็อกซ์ เขายังไม่ใช่เป็นอาจารย์สอนภูมิศาสตร์เท่านั้น ก็ยังมีเนื้อหาของสังคมศาสตร์สอดแทรกอีกด้วย
"ใช่เลย พวกเราเป็นชาติอาหรับเหมือนกาตาร์นั่นแหละแต่ภาษาที่เราพูดกับของพวกเขาก็มีความต่างกันบ้าง คือไม่เหมือนกันหมดซะทีเดียว อย่างไรก็ตามเราต่างสื่อสารกันเข้าใจ"
ต่อคำว่า'อาหรับ'ก็หมายถึง 22 ประเทศที่มีพื้นที่ผนวกกันกว้างใหญ่ไพศาลกว่า 5 ล้านตารางไมล์รวมถึงมีประชากรรวมกันแล้วไม่ต่ำกว่า430ล้านคน พวกเขาต่างมีวัฒนธรรมกับขนบจารีตที่คล้ายกัน ภาษอาราบิคก็เหมือนกันถึงผิดแผกกันไปบ้างก็ตาม
ตั้งแต่ก่อนเกมแล้วที่หันไปทางไหนก็เจอแต่ธงชาติสีแดงประทับด้วยดาวสีเขียวตรงกลาง ทันทีที่บอลเขี่ยก็มีเสียงเป่าปากดังอื้ออึงในทุกครั้งที่นักเตะเบลเยี่ยมได้บอล พวกเขาต่างแสดงออกถึงแพสชั่นที่ไหลเวียนอยู่ในร่างออกมาเต็มที่ ยิ่งตอนที่พังตาข่ายออกนำได้นั้นก็เป็นช่วงนาทีที่ยืนยันว่าคนโมร็อกโกบ้าคลั่งบอลแค่ไหน
นับแต่นั้นมาผมก็แอบเอาใจช่วยสิงโตแห่งอัตลาสมาตลอด กระนั้นแน่นอนการที่พวกเขาผ่านมาถึงรอบตัดเชือกได้ก็เป็นสิ่งที่ช่างเหนือความคาดหมาย
นี่คือความมหัศจรรย์ของเจ้าลูกกลมๆ
นี่ก็ยังเป็นก้อนพลังงานชั้นเยี่ยมที่ถ่ายออกสู่โลกอันกว้างใหญ่
นี่ก็ยังเป็นหน้าประวัติศาสตร์ที่มีการจดบันทึกใหม่ของทวีปแอฟริกาในรอบ92ปีซี่งก่อนหน้านี้เคยมีแค่เข้าใกล้ที่สุดรอบแปดทีมเช่นแคเมอรูนปี1990, เซเนกัลปี2002และกาน่าปี2010
ในเกมน็อกเอาต์ที่ล้มมาทั้งสเปนกับโปรตุเกสถึงจะไม่ใช่ด้วยสไตล์อันสวยงามหรือเร้าใจ ทว่าก็เรื่องปกติที่ทีมรองต้องอาศัยเกมรับเหนียวแน่นไวก่อนเพื่อรอคอยโอกาสตัวเอง อย่างหนึ่งที่โมร็อกโกทีมนี้นำเสนอออกมาในทุกๆเกมก็เป็นสปิริต, ความกลมเกลียวและหัวใจของนักรบ
พวกเขาใส่สุดตัวในทุกจังหวะ
พวกเขาก็ยังขยับตัวเองมาอยู่ในตำแหน่งตามคำสั่งของโค้ชตลอด
และพวกเขาก็อาศัยแรงเชียร์จากแฟนบอลทั้งสนามนี่แหละเป็นตัวกระตุ้นให้ว่าทำไมถึงต้องสู้ถวายหัว
เรื่องตลกที่มีการพูดกันก็คือจะสเปนหรือโปรตุเกสนั้นในอดีตเคยเป็นชาติที่มาล่าอาณานิคมดินแดนโมร็อกโก นี่ก็ต้องรวมถึงคู่แข่งในด่านต่อไปฝรั่งเศสด้วย
มันย่อมไม่ใช่การล้างแค้น นั่นเป็นเรื่องของชาติปางก่อน
กระนั้นคำถามที่ว่าโมร็อกโกจะก้าวต่อไปจนถึงตำแหน่งแชมป์โลกได้ไหมก็น่าสนใจโดยเฉพาะคำตอบที่อาจต้องชั่งใจคิดนานซะหน่อย ในเมื่อกรีซเคยเขียนเทพนิยายได้สำเร็จในยูโรปี2004, ในเมื่อเลสเตอร์เองก็เคยสร้างปรากฎการณ์5,000/1มาแล้วรวมถึงในอีกหลายๆเรื่องที่ฟุตบอลเคยทำให้เราอดยิ้มไปกับมันไม่ได้
มีบางเหตุผลที่อาจเป็นตัวแปรว่าทำไมเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้อาจเป็นไปได้
1. จุดเด่นในเกมรับของโมร็อกโกที่เสียไปเพียงลูกเดียวเท่านั้นจาก8เกมหลังสุด อย่างในบอลโลกหนนี้ประตูเดียวที่โดนก็มาจากการยิงเข้าตัวเอง นั่นเป็นเพราะพวกเขาเล่นอย่างเจียมตัว รู้ว่าศักยภาพของตัวเองมีแค่ไหน
คำกล่าวอมตะที่ไม่เคยตายในเกมลูกหนัง"เกมรับจะทำให้คุณเป็นแชมป์"
2.แรงเชียร์มหาศาลที่ไมใช่แต่คนโมร็อกโกทั่วประเทศเท่านั้น มันกลายว่าชาวอาหรับทั้งหมด430ล้านคนก็ต่างเอาใจช่วย คืนหลังจากกำราบเบลเยี่ยมมาก็มีการเปิดไฟธงชาติโมร็อกโกในตึกใจกลางกรุงโดฮาเพื่อแสดงความยินดีซึ่งก็ยังเกิดขึ้นอีกหลังเกมสเปนและโปรตุเกส ไปคุยกับใครในกาตาร์ตอนนี้ต่างก็พูดเหมือนกันว่า"พวกเราหวังว่าโมร็อกโกจะเป็นแชมป์โลก"
"เมื่อคุณดูร็อคกี้ บัลบัวชกก็อยากเชียร์เขาเพราะเขาใช้หัวใจลงเวที พวกเราก็คือร็อคกี้ของฟุตบอลโลกคราวนี้"วาลิด เรกรากุย โค้ชโมร็อกโกได้พูดไว้
มันคือฝันลอยๆของนักชกจากทวีปที่ยังด้อยพัฒนาที่มีคน430ล้านคนอยากร่วมฝันไปด้วย
"ไก่ป่า"