สดุดีผลงาน 5 ดาว! สถิติและเกร็ดที่น่าสนใจหลัง ญี่ปุ่น พิชิต สเปน

สดุดีผลงาน 5 ดาว! สถิติและเกร็ดที่น่าสนใจหลัง ญี่ปุ่น พิชิต สเปน
ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานชิ้นโบว์แดงสำหรับทีมชาติญี่ปุ่น หลังจากเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม ที่ผ่านมา พวกเขาเอาชนะ สเปน 2-1 ทำให้พวกเขาได้ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายในฐานะแชมป์กลุ่ม อี

ผลการแข่งขันที่ออกมาถือว่าหักปากกาเซียนหลายสำนัก เพราะถึงแม้ในนัดแรก ญี่ปุ่น จะช็อกโลกด้วยการคว่ำ เยอรมนี มาได้ แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่คิดว่าพวกเขาจะทำอย่างนั้นได้อีกครั้งในการเจอกับ สเปน ยิ่งพิจารณาถึงนัดก่อนที่แพ้ คอสตาริก้า 0-1 แล้วนั้น มันไม่น่าแปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้หลายคนจะคิดว่า ญี่ปุ่น อาจจะตกรอบก็ได้

ทั้งนี้ หลายอย่างที่เกิดขึ้น ณ สนาม คาลิฟา อินเตอร์เนชันแนล เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ที่ผ่านมา ยังทำให้เกิดสถิติและเกร็ดที่น่าสนใจบางอย่างด้วย มาดูกันดีกว่าว่ามันมีอะไรบ้าง

- ไม่ต้องได้บอลเยอะ

ปฏิเสธไม่ได้ว่ารูปเกมส่วนใหญ่นั้น สเปน เป็นฝ่ายได้ครองบอลมากกว่า ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เป็นอย่างนั้นก็มาจากทั้งคุณภาพของนักเตะและสไตล์การเล่นของ สเปน เอง แต่อย่างที่รู้กันดีว่าการได้ครองบอลเยอะมันไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ชนะเสมอไป

สำหรับเกมเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ที่ผ่านมานั้น ญี่ปุ่น ได้ครองบอลเพียงแค่ 17.7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น และนั่นก็ทำให้พวกเขาสร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมที่ได้ครองบอลน้อยที่สุดที่ยังเก็บชัยชนะในเกม ฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายได้ โดยสถิติเดิมเป็นของ เกาหลีใต้ ที่เคยชนะ เยอรมนี เมื่อปี 2018 ทั้งที่ได้ครองบอลเพียง 26 เปอร์เซ็นต์

- ไม่ท้อตอนจบครึ่งแรก

ทั้้งเกมที่ชนะ เยอรมนี และ สเปน นั้น ญี่ปุ่น ทำได้จากสถานการณ์ที่พวกเขาเป็นฝ่ายตามหลังไปก่อนในช่วงครึ่งแรกทั้งคู่ ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีหัวใจนักสู้ที่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ และมันก็ทำให้ ญี่ปุ่น ชุดนี้เป็นทีมที่ 3 ที่สามารถเก็บชัยชนะในเกม ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ได้ 2 นัดต่อ 1 ทัวร์นาเมนท์ ทั้งที่เป็นฝ่ายตามหลังตอนเข้าสู่ช่วงพักครึ่ง

สำหรับทีมแรกนั้นได้แก่ บราซิล ชุดปี 1938 ที่เคยทำได้ในเกมรอบก่อนรองชนะเลิศ นัดรีเพลย์กับ สาธารณรัฐเช็ก (ชนะ 2-1) ตามด้วยนัดชิงอันดับ 3 กับ สวีเดน (ชนะ 4-2) ส่วนอีกทีมคือ เยอรมัน ตะวันตก ชุดทำศึกปี 1970 ที่แซงชนะ โมร็อกโก ในรอบแบ่งกลุ่ม (ชนะ 2-1) ต่อด้วยเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่พวกเขาพิชิต อังกฤษ ในช่วงต่อเวลาพิเศษ (ชนะ 3-2)

นอกจากนี้ ญี่ปุ่น ยังถือเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ของศึก ฟุตบอลโลก ที่แซงกลับมาชนะทั้ง เยอรมนี และ สเปน ภายในทัวร์นาเมนท์เดียวกันได้ด้วย




- การล้างแค้นที่หอมหวาน

ย้อนกลับไปในศึก โอลิมปิก เกมส์ 2020 (ซึ่งแข่งกันในปี 2021) ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพนั้น พวกเขาเคยแพ้ สเปน ในช่วงต่อเวลาพิเศษจนทำให้ต้องตกรอบรองชนะเลิศมาแล้ว ซึ่งกุนซือของ ญี่ปุ่น ชุดนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น ฮาจิเมะ โมริยาสึ กุนซือทีมชาติญี่ปุ่นชุดใหญ่คนปัจจุบันนี่เอง

นอกจากนี้ ในชุด 11 ตัวจริงเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมานั้น ยังมีถึง 4 คนที่เป็นตัวจริงจากวันที่แพ้ สเปน ใน โอลิมปิก เกมส์ เมื่อปีก่อนด้วย นั่นคือ อาโอะ ทานากะ, ทาเคฟุสะ คุโบะ, มายะ โยชิดะ และ โค อิตาคุระ

- แผนซูเปอร์ซับของ โมริยาสึ

บางคนมองว่าที่ผ่านมา โมริยาสึ เน้นใช้แท็กติกที่จะให้ตัวหลักบางคนออกสตาร์ตบนม้านั่งสำรอง แล้วจากนั้นค่อยส่งพวกเขาลงไปแผลงฤทธิ์ในช่วงครึ่งหลัง ซึ่งมันก็ถือว่าได้ผลดีในระดับหนึ่ง เพราะจาก 4 ประตูที่พวกเขาทำได้ใน ฟุตบอลโลก 2022 นั้น มันมาจากผลงานของคนที่เป็นตัวสำรองถึง 3 ลูก

ถ้าให้เทียบกันแล้วล่ะก็ จำนวนดังกล่าวก็ถือว่าเท่ากับที่ ญี่ปุ่น ได้ประตูจากนักเตะที่เป็นตัวสำรองในช่วง 20 นัดแรกที่พวกเขาได้ลงเล่นในศึก ฟุตบอลโลก เลย

- เด็กเกร็ดบอล -


ที่มาของภาพ : GETTY IMAGE
BY : เด็กเกร็ดบอล
เด็กเกร็ดบอล
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport