เป็นอันว่า บราซิล ทีมเต็งหนึ่ง ฟุตบอลโลก 2022 ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จแล้วเช่นเดียวกับ แชมป์เก่า ฝรั่งเศส หลังเอาชนะ สวิตเซอร์แลนด์ ได้ด้วยสกอร์ 1-0 ในเกมรอบแบ่งกลุ่มนัดสองของกลุ่ม จี ที่สนาม 974 เมื่อวันจันทร์ที่ 28 พ.ย.
แต่กว่าที่ทีม เซเลเซา จะกำราบทีมเมือง นาฬิกา ลงได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเนื่องจากคู่ปรับรายนี้สร้างความหนักใจให้กับพวกเขาได้เสมอ จนกระทั่งทีมจากละตินมาได้ประตูที่งดงามของ กาเซมีโร่ พาทีมเก็บหกแต้มเต็มได้สำเร็จ
1.เฟรด คืนโผตัวจริงแทน เนย์มาร์
บราซิล ต้องลงเล่นเกมนี้โดยไม่มี เนย์มาร์ สตาร์ทีม ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ซึ่งบาดเจ็บจากเกมแรกที่คว่ำ เซอร์เบีย 2-0 และทำให้กุนซือ ตีเต้ ปรับหมากด้วยการส่ง เฟร็ด มิดฟิลด์ทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ลงบู๊เป็น 11 ตัวแรก
อีกตำแหน่งที่ปรับโผเป็นการส่ง เอแดร์ มิลิเตา ลงเล่นในแผงหลังแทน ดานิโล ซึ่งบาดเจ็บขณะซ้อม
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ในซุ้มข้างสนามของทีม แซมบ้า แลดูน่าเกรงขามยิ่งนักเนื่องจากประกอบไปด้วยดาวดังทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น ฟาบินโญ่ , อันโตนี่ , กาเบรียล เชซุส และ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ซึ่งล้วนแต่ค้าแข้งอยู่ใน พรีเมียร์ลีก ทั้งหมด
2.สวิส ปรับทัพจุดเดียว
สำหรับ สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งกำชัยในเกมแรกได้เช่นกันด้วยการเอาชนะ แคเมอรูน 1-0 ปรับทัพหนึ่งรายลงบู๊กับทีมเมืองกาแฟให้ ฟาเบียน รีเดอร์ ดาวเตะหนุ่มวัย 20 ปีลงเล่นก่อนหน้าจอมเก๋า เซอร์ดาน ชากิรี่
นอกจากจะเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้ทันทีหากกำราบ บราซิล ได้สำเร็จ ทีมเมืองนาฬิกาจะสร้างสถิติด้วยการชนะในเกม ฟุตบอลโลก รอบแบ่งกลุ่มสองนัดติดได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติด้วย
และที่น่าทึ่งก็คือเมื่อสี่ปีก่อน สวิส กับ บราซิล ร่วมอยู่ในกลุ่มเดียวกันมาแล้วเช่นเดียวกับ เซอร์เบีย เหมือนปีนี้ไม่มีผิด ขณะที่อีกทีมร่วมกลุ่มได้แก่ คอสตาริกา ไม่ใช่ แคเมรูน
อย่างไรก็ดี เมื่อปี 2018 สวิส ตาม บราซิล เข้ารอบได้สำเร็จ ขณะที่ เซอร์เบีย กับ แคเมอรูน ตกรอบ ก่อนที่ทีมเมืองนาฬิกา จะแพ้ สวีเดน 1-0 ร่วงรอบ 16 ทีม ส่วน บราซิล พ่ายต่อ เบลเยี่ยม 2-1 ในรอบแปดทีม
3.ไร้ เนยมาร์ แซมบ้าสะดุด
เอ่ยชื่อ เนย์มาร์ แม้ทุกคนจะยอมรับว่าดาวยิงรายนี้มีความสามารถไม่เป็นสองรองใคร แต่ในแง่ของการได้รับความนิยม บอกได้เลยว่าหัวหอกจอมลีลาไม่ติดโผอันดับต้นๆ และโดนโจมตีมานานแล้วว่าขยันเล่นเพื่อตัวเองมากกว่าเพื่อทีมด้วยการพยายามแสดงความเหนือชั้นโดยไม่จำเป็น
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่แปลกที่ เนย์มาร์ จะมีปัญหาล้มเจ็บอยู่เนืองๆจากการถูกฝ่ายตรงข้ามเข้าทำฟาวล์เพื่อหยุดการบุกตะลุยของเขาเหมือน ฟุตบอลโลก คราวนี้ที่เจ้าตัวเจ็บข้อเท้าต้องพักไปจนจบรอบแบ่งกลุ่ม และทำให้กุนซือ ตีเต้ ร้องท่านเปาให้ช่วยคุ้มครองดาวยิงคนเก่งให้มากกว่านี้
จะอย่างไรก็ตาม สำหรับ บราซิล แล้ว เนย์มาร์ จัดเป็นนักเตะคีย์แมนเลยก็ว่าได้แม้เกมแรกที่ชนะ เซอร์เบีย 2-0 ริชาร์ลิซอน จะได้โชว์อยู่คนเดียวก็ตามเนื่องจากสถิติถูกเผยออกมาก่อนเกมดวลกับ สวิตเซอร์แลนด์ ว่านับตั้งแต่แพ้ เบลเยี่ยม ในเกม ฟุตบอลโลก ปี 2018 ทีมเมืองกาแฟกำชัยได้แค่ 63% หากไม่มี เนย์มาร์ แต่ถ้ามีดาวเตะคนสำคัญที่สามารถเลี้ยงกินตัวได้ลงสนาม พวกเขาสามารถกำราบคู่แข่งได้มากถึง 81% เลยทีเดียว
และเหมือนเกมในครึ่งแรกกับ สวิตเซอร์แลนด์ จะสะท้อนให้เห็นถึงตัวเลขนี้เนื่องจากเกมรุกของทีมยักษ์จากละตินไม่มีความน่าเกรงขามเลยแม้แต่น้อย และแทบสร้างโอกาสทำเสียวไม่ได้เลยโดยกว่าจะมีลุ้นหนแรกก็ต้องรออยู่นานจนถึงครึ่งทางเข้าไปแล้ว แต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับนายทวาร ยาน ซอมเมอร์
รวม 45 นาทีแรก ทีมเมืองกาแฟครองบอลเหนือกว่า 54:46% เท่านั้น และได้ส่องยิงรวม 6 ครั้ง แต่เข้ากรอบที่เป็นการเซฟของผู้รักษาประตูทีม โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค 2 ครั้ง ขณะที่ สวิตเซอร์แลนด์ ได้ลุ้นคลำเป้าแค่หนเดียว และไม่เข้ากรอบ
แต่ที่แน่ๆ ริชาร์ลิซอน ที่โดดเด่นในเกมแรกมีจังหวะได้สัมผัสบอลในครึ่งแรกแค่ 13 หนเท่านั้นก่อนโดนเปลี่ยนออกกลางครึ่งหลังโดยมี กาเบรียล เชซุส ได้ลงเล่นแทน
4.ฮีโร่นาม กาเซมีโร่
หลังจากเกมในครึ่งแรกไม่มีความไหลรื่น ตีเต้ ก็ปรับเกมด้วยการส่งตัวสำรองลงสนามตามความคาดหมาย
อย่างไรก็ดี ทีมเมืองกาแฟยังเจาะไข่แดง สวิตเซอร์แลนด์ ได้ยากลำบากเหมือนเคยซึ่งแม้พวกเขาจะมีโอกาสสอยตาข่ายมากขึ้น แต่ทีมเมืองนาฬิกาก็มีโอกาสเพิ่มขึ้นเช่นกัน
จบ 90 นาที แซมบ้า ครองบอลได้เหนือกว่า 54:46% เท่ากับครึ่งแรกไม่มีผิดซึ่งฟ้องให้เห็นว่าเกมของพวกเขาไม่ได้ดีขึ้นมากมายอะไรเลย
ในแง่ของโอกาส รวมแล้ว บราซิล ได้ยิงประตู 13 ครั้ง เข้ากรอบ 5 ครั้ง ขณะที่ สวิตเซอร์แลนด์ มีโอกาส 6 ครั้ง แต่ไม่เข้ากรอบซึ่งหมายความว่าทีมของกุนซือ มูรัต ยาคิน มีผลงานในด้านนี้ดีกว่า 45 นาทีแรก
แต่ก็นั่นแหละ ฟุตบอลคือการยิงประตู และในที่สุด บราซิล ก็มาได้ กาเซมีโร่ ซัดประตูโทนอย่างงามในนาทีที่ 83 พาทีมเก็บสามแต้มเข้ารอบ 16 ทีมได้เป็นผลสำเร็จ และทำให้อดีตกองกลางทีม เรอัล มาดริด ได้ชื่อว่าเป็นดาวเตะทีม แมนฯ ยูไนเต็ด คนแรกที่ยิงประตูให้ บราซิล ได้ในเกม ฟุตบอลโลก อันเป็นประตูแรกของเขาในรายการนี้เช่นกัน
ขณะเดียวกัน บราซิล ก็สร้างสถิติเป็นทีมแรกในทัวร์นาเมนต์นี้ที่ไม่แพ้ในรอบแบ่งกลุ่มนานถึง 17 นัดแล้วโดยหนสุดท้ายที่พวกเขาแพ้ในรอบแบ่งกลุ่มเป็นเกมสุดท้ายของปี 1998 ที่พลิกพ่ายต่อ นอรเวย์ 2-1 โดยถูกรัวยิงสองเม็ดในเจ็ดนาทีสุดท้าย แต่ผ่านเข้ารอบไปก่อนแล้วจากการพิชิต สกอตแลนด์ 2-1 และ ขยี้ โมร็อคโก 3-0 ซึ่งพวกเขาเป็นรองแชมป์จากการปราชัยต่อ ฝรั่งเศส ยับเยิน 3-0
อีกทั้งพวกเขาเป็นแค่ชาติที่สองของ ฟุตบอลโลก เท่านั้นที่ไม่ปล่อยให้คู่แข่งส่งบอลเข้ากรอบเลยแม้แต่หนเดียวจากการลงเล่นสองเกมแรกนับตั้งแต่ปี 1966 หลังจาก ฝรั่งเศส เคยทำได้ในปี 1998
5.สวิตเซอร์แลนด์ กระดูกชิ้นโต
แม้จะไม่ใช่ทีมระดับท็อปของยุโรป แต่ความจริงคือ สวิตเซอร์แลนด์ เป็นคู่ปรับที่สร้างความหนักอกให้กับ บราซิล ได้แทบทุกครั้งที่เผชิญหน้ากัน
อย่างนัดล่าสุด กว่าที่จะได้เฮ ทีมเมืองกาแฟก็ต้องรออยู่นานจนถึงท้ายเกม และชนะไปแบบจุ๋มจิ๋มแค่ประตูเดียวเท่านั้น
และหากเราจะนับเฉพาะเกม ฟุตบอลโลก คู่นี้เคยเจอกันมาก่อนสองหน และ บราซิล ไม่อาจพิชิต สวิตเซอร์แลนด์ ได้เลยจากผลเสมอ 2-2 ในปี 1950 และ 1-1 ในปี 2018 โดยหนสุดท้ายที่ เซเลเซา เอาชนะทีมจากยุโรปรายนี้ได้เป็นเกมกระชับมิตรในปี 2006 ซึ่งพวกเขาได้เฮจากสกอร์ 2-1
1950: บราซิล 2-2 สวิตเซอร์แลนด์ (ฟุตบอลโลก)
1956: สวิตเซอร์แลนด์ 1-1 บราซิล (กระชับมิตร)
1980: บราซิล 2-0 สวิตเซอร์แลนด์ (กระชับมิตร)
1982: บราซิล 1-1 สวิตเซอร์แลนด์ (กระชับมิตร)
1983: สวิตเซอร์แลนด์ 1-2 บราซิล (กระชับมิตร)
1989: สวิตเซอร์แลนด์ 1-0 บราซิล (กระชับมิตร)
2006: สวิตเซอร์แลนด์ 1-2 บราซิล (กระชับมิตร)
2013: สวิตเซอร์แลนด์ 1-0 บราซิล (กระชับมิตร)
2018: บราซิล 1-1 สวิตเซอร์แลนด์ (ฟุตบอลโลก)