"กาตาร์มีผู้ชายถึง70%ของประชากร ที่นี่ผู้หญิงจึงมีอิทธิพลที่ทำให้ผู้ชายต้องยอมทำตามทุกอย่าง"
1
เพียงไม่กี่ป้ายของรถเมโทรสายสีแดงพอออกมาก็เจอย่านที่เรียกว่าหัวใจของโดฮา มองไปตรงหน้าการจราจรหนาแน่นไม่ต่างนักกับมหานครของไทย ครั้นแหงนมองสูงขึ้นไปก็เจอตึกระฟ้าที่วางเรียงติดกันซึ่งจุดที่ทำให้น่าหยิบกล้องมารัวชัตเตอร์เป็นตรงมีการเอารูปนักฟุตบอลที่มาแข่งบอลโลกหนนี้แปะเอาไว้
อย่างตึกแรกเลยพอไถลหัวพ้นสถานี'West Bay'ก็เป็นมานูเอล นอยเออร์ของเยอรมัน พอเดินไปอีกหน่อยก็เป็นแกเร็ธ เบลทำท่ากำลังง้างยิงด้วยเท้าซ้าย
"Hello Brother..."
เสียงทักทายที่พอหันไปก็เจอหนุ่มสองคนที่เห็นครั้งแรกก็เดาได้เลยว่าไม่ใช่กาตารี่ ดูแล้วคงเป็นพวกที่อยพพมาทำงานเพื่อหาเงินส่งกลับบ้านอีกเป็นแน่ ถึงกระนั้นผมเองก็มาเอะใจตรงคำที่เขาใช้ทักทายเนื่องจากไปไหนก็เจอแต่คำนี้
นึกออกไหมครับว่าอย่างในอังกฤษนั้นจะเรียกแทนด้วยคำว่า'mate'เช่น Hello mate
สำหรับกาตาร์แล้วดูจะนับถือกันอีกอย่างเป็นพี่น้องกันหมด นี่ถือเป็นขนบที่ได้มารู้หลังมาใช้ชีวิตได้ครบสัปดาห์เต็ม
อืม ก็แปลกไปอีกแบบ
"สนใจกินอะไรไหม ดูเมนูของเราก่อนได้ เรามีหมดเลยทั้งพิซซ่า ข้าวแกงกะหรี่รวมไปถึงกาแฟ ไอศครีมก็มีนะ อยากบอกว่าไอศครีมของเราอร่อยมาก"หนึ่งในนั้นที่ผิวสีคล้ำจัดแจงขายของยิ่งกว่าเทศกาลมอเตอร์โชว์
ตรงๆเลยผมเพิ่งกินข้าวมา ไม่งั้นก็คงอุดหนุนไปแล้วแต่ก็ทำแสร้งดูเมนูเพื่อหวังกำชับสัมพันธไมตรีนี้จากเพื่อนใหม่ที่เราเองก็กำลังอยากรู้จัก
เป็นร้านเล็กๆอยู่ติดถนนครับโดยอาศัยเช่าตู้คอนเทนเนอร์มาเปิดขาย จากที่ดูราคาถือว่าทั่วไปตามสภาพของร้าน ว่าไปพนักงานทั้งสองก็ดูจะอยากคุยกับผมเช่นกันเพราะต่างยืนรอต้อนรับไม่ห่าง พอถามอะไรไปก็ตอบกลับมาด้วยพื้นฐานของภาษาอังกฤษอันแข็งแรง
"ใช่ พวกเราไม่ใช่คนกาตาร์ ตัวผมมาจากบังกลาเทศโดยผมมาอยู่ได้สามปีแล้ว ส่วนหมอนี่(เพื่อนอีกคน)มาจากเนปาลเพิ่งมาได้แปดเดือนเท่านั้น"คนที่ผิวคล้ำมาจากบังกลาเทศแนะนำตัวอย่างละเอียด
ครับ ผมไม่ได้ประหลาดใจ
ที่ผ่านมาก็เจอแต่คนกลุ่มนี้เกือบทั้งสิ้น จะแท็กซี่ จะพนักงานรักษาความปลอดภัย จะอาสาสมัครที่คอยบอกทาง จะเจ้าหน้าที่ในศูนย์มีเดีย จะคนกดกาแฟตามเพรสสนามบอล ฯลฯ
"คนกาตาร์จริงๆมีไม่เยอะหรอก คุณเองก็จะไม่ค่อยเจอตามถนนง่ายๆด้วย โน่นพวกเขาขับรถกัน บางคนก็ขับรถสปอร์ตกันเป็นเรื่องปกติ"เล่าแล้วก็ชี้ไปที่ถนนซึ่งบังเอิญมีเฟอร์รารี่สีแดงกระชากตัวผ่านไป
ดังนั้นในกาตาร์แล้วร้อยละ70-80จึงมีแต่พวกที่ขนข้าวของมาพำนักเพื่อดิ้นรนสู้ชีวิต คนกลุ่มนี้ที่ประกอบหลักๆด้วยอินเดีย, ศรีลังกา, บังกลาเทศ, เนปาลและฟิลิปปินส์จัดเป็นกลุ่มด้านล่างสุดตามการจัดวรรณะ
ชั้นสูงสุดก็แน่นอนพวกกาตารี่แท้ๆที่มักนุ่งชุดประจำชาติสีขาวพร้อมโพกหัวสวมหมวก ส่วนชั้นต่อมาก็พวกฝรั่งยุโรปตะวันตกตามมาด้วยพวกเพื่อนบ้านอาหรับทั้งหลาย
"ทำไมคุณถึงเลือกมาอยู่โดฮากันล่ะ? เพราะเงิน?"ผมถามคำถามที่ก็รู้อยู่แล้วถึงคำตอบแต่ก็อดไม่ได้ที่ต้องปล่อยออกไป
"เงินนะซิ ที่นี่จ่ายพวกเราดีกว่าประเทศของเรา อย่างผมมาทำงานคอยดูแลร้านนี้ก็ได้เดือนละประมาณ3,000ริยาล(ราวสามหมื่นบาทไทย)ซึ่งหักโน่นหักนี่ไปก็พอมีเงินส่งกลับไปให้ที่บ้านใช้"คราวนี้คนที่มาจากเนปาลเปิดอกบ้าง
"พวกคุณไม่ได้มาอยู่กับครอบครัวหรือ?"ผมสงสัย
"พวกเราทุกคนล้วนมาคนเดียวเกือบทั้งนั้น การจะพาผู้ติดตามมาอยู่ด้วยในกาตาร์ต้องผ่านขั้นตอนหลายอย่าง สำคัญที่สุดค่าใช้จ่ายมันสูง พวกเราไม่มีปัญญาหรอก"แววตาของพวกเขาตอนนั้นดูสลดชัดเจนจนทำให้คล้ายว่ามีเข็มทิ่มตำหัวใจ
จากนั้นก็มีอีกคนที่สวมเสื้อพ่อครัวออกมาสมทบ พวกเขาล้วนมีอัธยาศรัยไมตรีงดงาม ยิ่งพอรู้ว่าผมเป็นนักข่าวจากไทยแลนด์ก็ดูตื่นเต้นยิ่งกว่าตัวเราเองซะอีก
"พวกคุณชอบกาตาร์กันไหม?"
คนบังกลางเทศตรงกลางเป็นคนแรกที่ตอบ"เยส ทำไมจะไม่ล่ะ? พวกกาตารี่โดยมากล้วนมีนิสัยน่ารัก ไม่ใช่คนที่จะมาดูถูกพวกเราถึงเราจะเป็นพวกที่ใช้แรงงานกัน แน่นอนที่สุดว่าพวกเขาทำใหพวกเรามีเงินใช้กัน อีกอย่างก็คือการได้มาอยู่กาตาร์ก็เหมือนได้ทำให้เราเห็นโลกอีกใบ จากที่เราอยู่แต่ในประเทศของเราก็เจอแต่คนพวกเดียวกันแต่กับที่กาตาร์แล้ว อย่างนี้ไงผมเจอเพื่อนเนปาล เจออินเดียและอื่นๆอีกมากมาย"
พูดจบเพื่อนอีกสองคนข้างๆต่างพยักหน้าเห็นชอบ กาตาร์ก็คงเหมือนกับหลายแห่งหนบนโลกใบนี้ มันมักมีสองด้านให้โต้แย้งกัน
ก่อนร่ำลากันก็มีการร้องขอจากหนุ่มเนปาลว่าอยากขอถ่ายรูปสักรูปกับผมเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกว่าครั้งหนี่งเราได้มาเจอกันในเมืองที่พวกเราต่างมาในสถานะของผู้มาเยือน
2
แดดในโดฮาแรงทุกวันนับแต่มาอยู่ โชคดีที่อากาศไม่ร้อนจัดนักซึ่งก็เป็นสิ่งที่เจ้าภาพได้คิดไว้แล้วจึงย้ายให้บอลโลกมาเตะกลางซีซั่น การติดแอร์ในสนามก็เป็นการโชว์ถึงศักยภาพในอีกทางของพวกเขาเช่นกัน
ผมคงเดินท้อมๆต่อไปตามถนนสายหลักที่วิวมีแต่ตึกระฟ้าเต็มไปหมด มีพวกร้านแนวคาเฟ่เปิดอยู่ตามโซนนอกของตึกโดยมีการเอาจอทีวีออกมาวางเพื่อดึงดูดลูกค้าฉายเกมคู่สวิตเซอร์แลนด์กับแคเมอรูนที่กำลังแข่งขัน
จะติดใจก็ที่การดูบอลดำเนินไปเงียบเหงา คืออารมณ์เหมือนมานั่งกินข้าวปกติแต่มีทีวีให้ดูบอลโลกมากกว่า
ใช่-มันขาดเครื่องดื่มที่ช่วยปลุกเร้าต่อมความกล้าให้ตื่นตัว...
ว่าแล้วก็เลยมุ่งหน้าไปยังโรงแรมดังที่มีสาขาหลายแห่งทั่วโลกเพราะได้ยินมาว่ามีผับสไตล์บริติชซ่อนอยู่ ก็การจะกินเบียร์ในกาตาร์นั้นเป็นกฎต้องห้ามว่าต้องหาตามร้านที่มีไลเซนส์ถูกต้องโดยส่วนใหญ่ก็เปิดตามเลาจน์โรงแรม
พอไปถึงมีการ์ดกล้ามโตที่มีเชื้อสายแอฟริกันยืนจังก้า ส่วนข้างในก็ทำให้นึกถึงผับแนวสปอร์ตบาร์ในอังกฤษขึ้นมาทันทีเพราะเหมือนกันมาก มีจอทีวีวางกระจายรอบร้าน มีบาร์ยาวที่มีเบียร์สดหลายยี่ห้อให้ไปสั่งกัน
จะมีความต่างก็ตรงราคาเพราะ1ไพนท์ในกาตาร์กับแบรนด์สีเขียวที่เมืองไทยก็มีตก60ริยาลหรือ600บาท
เอาว่าในลอนดอนเองต่อให้ย่านหรูขนาดไหนก็ยังไม่ถึงราคานี้เลย ในร้านก็เจอสองพ่อลูกกองเชียร์เวลส์ที่ต่างส่ายหัวแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะมันเป็นของต้องกินสำหรับคอบอล จะไปหาแฟนโซนที่ถูกกว่าหน่อยก็เปิดขายเวลาทุ่มตรงอีก
"ผับประจำแถวบ้านผมสามารถซื้อได้ถึง 4 ไพนท์เลย"สำเนียงเหน่อๆแบบฉบับลูกหลานมังกรแดง
ผับที่ขายเบียร์ในโดฮาหาได้ยากโดยมักจะตั้งในโรงแรมแถวกลางเมืองเท่านั้น
นี่ครับกาตาร์ หนึ่งในชาติที่รวยสุดของผืนพิภพซึ่งถีบตัวเองเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากที่ไม่เคยมีใครมองก็กลายว่าทุกคนต้องหันมาสนใจด้วยคำถามที่เต็มไปหมด
อีกเรื่องที่สังเกตพบก็เป็นประเทศเล็กๆนี้มีผู้ชายเยอะกว่าผู้หญิงในปริมาณที่อาจจะสามถึงสี่เท่าขึ้นไปเลย ข้อนี้คะเนเอาเองจากที่พบเจอในแต่ละวัน
"คุณคิดถูกแล้วเพราะกาตาร์มีอัตราของผู้ชายถึงราว70%ของจำนวนประชากรทั้งหมดที่มี"เจ้าหน้าที่เพรสในสนามทำเอาสะดุ้งกับตัวเลข
"ที่นี่ผู้หญิงจึงมีอิทธิพลที่ทำให้ผู้ชายต้องยอมทำตามเพราะไม่อยากเสียของที่หาได้ยากไป..."
"ไก่ป่า"