มีบางสิ่งที่รู้สึกได้ทันทีหลังผ่านชีวิตในกาตาร์มาสามวัน
ฟุตบอลโลกหนนี้ไม่เหมือนที่เคยไปมาอย่างสิ้นเชิง ต้องอธิบายว่าก่อนหน้านี้ผมมีโอกาสไปทำข่าวมาแล้วสองครั้งคือในปี2014ที่บราซิลกับปี2018ที่รัสเซีย
อะไรที่บ้างที่แตกต่าง?
1.อย่างแรกเลยเป็นเรื่องบรรยากาศที่ถือว่าขาดสีสันกว่าสองครั้งที่ผ่านมา ปกติแล้วไปตามถนนในเมืองก็ต้องเจอแฟนบอลชาติต่างๆรวมกลุ่มร้องเพลงบ้าง เต้นระบำบ้างทำให้เหมือนว่าเรากำลังมาทัวร์นาเมนต์ลูกหนังใหญ่ที่สุดของโลก
ทว่าหนนี้หาได้น้อยมาก เหตุผลหนึ่งก็คงมาจากการที่หาเบียร์กินยาก จะมีขายแต่ในแฟนโซนโดยราคาก็อย่างแพงแก้วละ50ริยาล(ประมาณ500บาท)กับต้องไปหาตามบาร์ในโรงแรมหรูกลางเมืองเท่านั้น ข้อนี้บางคนอาจสงสัยว่าเกี่ยวด้วยหรือ ก็อย่าลืมว่าโดยธรรมชาติคนเราพอได้แอลกอฮอลล์เข้าร่างกายไปก็จะทำให้มีความกล้าที่อยากแสดงออกมากขึ้น
ต่อมาก็น่าจะเป็นเรื่องของความเป็นกาตาร์ด้วยซึ่งชาติเจ้าภาพที่มีกฎระเบียบเคร่งครัด คุณจะมาถือเบียร์เดินกินข้างนอกก็โดนซิวเข้าคุกทันที เอาว่ามีนักข่าวบางคนแค่ใส่เสื้อสีสายรุ้งมาก็โดนการ์ดสั่งให้เปลี่ยน ไม่งั้นก็จะเข้าสนามไม่ได้
สองหนก่อนนี้ที่บราซิลกับรัสเซียนั้นยังไงก็ต้องเจอสีสันของกองเชียร์ไม่ว่าจะไปที่ไหนโดยเฉพาะพวกแนวสาวๆสวยๆด้วย
2.เป็นบอลโลกที่มีการหยุดเกมบ่อยมากจึงทำให้แต่ละเกมนั้นหากสังเกตกันก็จะมีทดเวลาบาดเจ็บเยอะตลอด อย่างคู่อังกฤษกับอิหร่านเคยมีทดรวมนานถึง 24 นาทีมาแล้ว ขณะที่เกมเวลส์กับสหรัฐอเมริกาที่เขี่ยลูกตอนสี่ทุ่มตรงเวลาท้องถิ่นก็เตะกันลากยาวจบเลยเที่ยงคืนไปอีก
ดูเหมือนว่าผู้ตัดสินที่เป่าแต่ละคู่บอลโลกหนนี้จะได้รับการกำชับมาให้เน้นพิเศษ แบบว่าแตะเนื้อต้องตัวกันนิดหน่อยก็พ่นลมให้ฟาวล์กันแล้ว ใบเหลืองก็มีการแจกกันเยอะซึ่งผ่านมาสามวันกับ 8 คู่มีใบเหลืองแล้วถึง 32 ใบหรือเฉลี่ยก็เกมละถึง 4 ใบ
3.ทุกคนทราบดีว่านี่เป็นบอลโลกหนแรกที่จัดกันในแถบประเทศอาหรับ ยังเป็นครั้งแรกอีกด้วยที่รอบแรกเตะกันบ้าระห่ำถึงสี่คู่ในวันเดียว อย่างตัวผมเองนั้นก็ได้ประสบการณ์เต็มๆกับไปดูมาสองสนามในหนึ่งวันมาติดต่อกันสองวันมา เริ่มจากวันจันทร์ไปเกมอังกฤษ-อิหร่านตามด้วยเวลส์-สหรัฐฯ ต่อมาวันอังคารก็เป็นจัดเต็มอีกคือดูทั้งเกมเบลเยี่ยมเสมอตูนิเซียจืดชืด0-0กับเกมฝรั่งเศสต้อนออสเตรเลีย4-1
ถามว่ามันดีไหม?
ก็จะดีคงตรงที่ว่ามันเป็นรสชาติที่ไม่เคยเจอมาก่อน ความที่กาตาร์เป็นชาติเล็กจึงทำให้การเดินทางไปแต่ละสนามใช้เวลาไม่มาก ถึงกระนั้นในอีกมุมก็ย่อมทำให้พละกำลังของร่างกายในแต่ละวันลดน้อยไปเรื่อยๆ อย่างยิ่งว่าจะหัวจะได้ถึงหมอนนั้นก็ปาไปตีสองเกือบตีสามมาสองคืนติดแล้ว
ส่วนตัวนั้นในทุกครั้งที่ได้ไปทำงานบอลทัวร์นาเมนต์ก็รักที่จะได้ออกเรียนรู้วิถีชีวิตของชนท้องถิ่น อย่างตอนไปบราซิลก็มีโอกาสไปตะลุยอเมซอน ได้ไปศึกษาว่าทำไมชาวแซมบ้าถึงเป็นชาติที่คลั่งเกมลูกหนัง พออีกสี่ปีถัดมาก็ไปศึกษาถึงมาลมหายใจของผู้คนในดินแดนอดีตหลังม่านเหล็ก พวกเขาเปิดรับสายลมจากตะวันตกกันแค่ไหน
ตรงไปตรงมาเลยผมเองยังไม่ได้ทำสิ่งเดียวกันนั้นกับพวกกาตารี่ ด้วยความที่ต้องดูบอลทุกวันก็กับด้วยความที่ไปไหนก็มักเจอแต่พวกคนต่างชาติที่อพยพเข้ามาเกือบทั้งนั้นด้วย
เพราะเสน่ห์ของฟุตบอลที่ทำให้เราต่างหลงใหลไม่เคยจำกัดหรอือตีกรอบแค่บนผืนหญ้าสีเขียว แน่นอนการที่ชาติอย่างซาอุดิอาระเบียโค่นอาร์เจนติน่าลงได้ถือเป็นข่าวใหญ่ที่น่าสนใจ ทว่าสิ่งที่น่าค้นหาไม่แพ้กันก็คงเป็นเช่นว่าแฟนบอลเศรษฐีน้ำมันมีวัฒนธรรมการดูบอลอย่างไรเป็นต้น
ครับ ยังเหลือเวลาอีกหลายวันที่ให้ผมได้ออกเดินทางแสวงหา
กระนั้นจนถึงตอนนี้ก็คงไม่มีคำจำกัดความไหนเหมาะสมที่จะเล่าถึงตัวตนของเวิล์ด คัพหนนี้ในประเทศที่เต็มไปด้วยข้อกังขานับตั้งแต่ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพ
มันคือบอลโลกกลางทะเลทราย
"ไก่ป่า"