อังกฤษ เปิดฉากบอลโลกหนนี้ได้สวยหรูไล่ถลุง อิหร่าน กระจุย 6-1 โดยที่ บูคาโย่ ซาก้า จัดสองตุงบวกกับ เบลลิงแฮม, สเตอร์ลิง, แรชฟอร์ด และ กรีลิช อีกคนละเม็ด แต่ต้องมาเช็กอาการบาดเจ็บของ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ที่ต้องโดนเปลี่ยนตัวออกในครึ่งหลัง ส่งผลให้ทัพ "สิงโตคำราม" ประเดิมคว้าสามคะแนนขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูงได้ก่อนของกลุ่มบี ในศึกฟุตบอลโลก 2022 เมื่อวันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา
ศึกฟุตบอลโลก 2022 นัดเปิดสนามประจำวันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2565 ที่สนาม คาลิฟา อินเตอร์เนชั่นแนล สเตเดี้ยม ระหว่าง อังกฤษ พบ อิหร่าน
อังกฤษ ของ แกเร็ธ เซาธ์เกต เกมนี้ส่ง 11 ตัวจริงส่งแนวรุกอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิง, เมสัน เมาท์, ฟิล โฟเด้น และ แฮร์รี่ เคน ผนึกกำลังล่าตาข่าย
ด้าน อิหร่าน ของ คาร์ลอส เคยรอซ เกมนี้ใช้ เมห์ดี้ ตาเรมี่ หัวหอกจาก เอฟซี ปอร์โต้ เป็นตัวความหวังในแนวรุก
ครึ่งแรกเปิดฉากมาเป็น อังกฤษ ที่ขึงเกมบุกใส่อยู่ฝ่ายเดียว นาทีที่ 8 ได้เสียวครั้งแรกจากจังหวะที่ แฮร์รี่ เคน เปิดบอลเข้าเขตโทษทำให้ อาลีเรซ่า เบรันวานด์ ออกมาปัดบอลไปเข้าทาง แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ที่สอดมาเสาสองตวัดกลับเข้ามาบอลเข้าข้างตาข่าย
จากจังหวะดังกล่าวทำให้ อาลีเรซ่า เบรันวานด์ นายด่านอิหร่าน มีอาการเจ็บหนักจากจังหวะที่ศีรษะไปปะทะกับเพื่อนร่วมทีมและต้องใช้เวลาปฐมพยาบาลเป็นเวลาหลายนาทีก่อนจะเล่นต่อไม่ไหว ทำให้ ฮอสเซน ฮอสเซนี่ นายด่านมือสองลงมาเล่นแทน ในนาทีที่ 18
นาที 30 อังกฤษ น่าได้ประตูขึ้นนำสุดๆจากจังหวะขึ้นเกมมาทางฝั่งขวา บูคาโย่ ซาก้า เปิดเรียดไปที่เสาแรกให้ เมสัน เมาท์ สอดมายิงยัดเสาแรกบอลไปเข้าข้างตาข่าย
จากนั้นนาที 33 อังกฤษ ชวดได้ประตูขึ้นนำอีกหนจากจังหวะเตะมุมทางฝั่งขวาแล้วเป็น แฮร์รี่ แม็กไกวร์ สอดมาโขกบอลพุ่งไปชนคานกระดอนออกมา
จนกระทั่งนาทีที่ 35 อังกฤษ ปลดล็อกได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จนได้ จากจังหวะที่ ลุค ชอว์ เปิดบอลไปที่กลางประตูให้ จู๊ด เบลลิงแฮม ขึ้นโหม่งส่งบอลเสียบเสาไกลเข้าไปอย่างสวยงาม
ท้ายครึ่งแรกนาที 43 อังกฤษ ขยับหนีห่างเป็น 2-0 จากจังหวะเตะมุมทางฝั่งซ้าย แม็กไกวร์ โหม่งชงให้ บูคาโย่ ซาก้า ตะบันด้วยซ้ายส่งบอลเสียบใต้คานเข้าไปอย่างสวยงาม
เท่านั้นไม่พอช่วงทดเวลานาที 45+1 จากจังหวะสวนกลับเร็ว แฮร์รี่ เคน ได้บอลทางฝั่งขวาแล้วหาจังหวะเปิดถวายพานไปที่เสาแรกให้ ราฮีม สเตอร์ลิง สอดมากดด้วยขวาส่งบอลตุงตาข่าย
ทดเวลานาที 45+11 อิหร่าน ได้ลุ้นจบสกอร์หนแรก เอห์ซาน ฮาจซาฟี่ เปิดบอลไปที่เสาไกลให้ อลิเรซา จาฮานบัคห์ช ได้ยืนซัดคนเดียวแบบโล่งๆ แต่ยิงผิดเหลี่ยมบอลเหินข้ามคานไปแบบไม่ได้ลุ้น
ช่วงเวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่ม จบครึ่งแรก อังกฤษ นำ อิหร่าน สบาย 3-0
ครึ่งหลัง อิหร่าน เริ่มต้นด้วยการแก้เกมเปลี่ยนทีเดียว 3 คนรวดส่ง เซอิด เอซาโตลาฮี, อาลี กลอลิซาเดห์ และ โมฮัมหมัด คานาอานี่
จากนั้นนาที 62 อังกฤษ ขยับหนีเป็น 4-0 บูคาโย่ ซาก้า ได้บอลทางฝั่งขวาก่อนลากตัดเข้าในหาจังหวะปั่นด้วยซ้ายบอลไปแฉลบแนวรับ อิหร่าน ส่งบอลเสียบเสาไกลไปแบบนิ่มๆ
อย่างไรก็ตาม อิหร่าน มาได้ประตูตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-4 ในนาทีที่ 65 อาลี กลอลิซาเดห์ จ่ายทะลุช่องให้ เมห์ดี้ ตาเรมี่ หลุดเดี่ยวมาซัดเน้นๆไม่เหลือ
นาที 71 แฮร์รี่ เคน จ่ายบอลให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่เพิ่งลงมาเป็นตัวสำรองหลุดเดี่ยวไปยิงด้วยซ้ายในเขตโทษเข้าประตูไปให้ อังกฤษ นำเป็น 5-1
ช่วงท้ายเกม อังกฤษ ยังไม่มีผ่อนเครื่องมาได้ประตูที่ 6 ในนาทีที่ 90 เมื่อ คัลลั่ม วิลสัน ตัวสำรองหลุดเดี่ยวเข้าเขตโทษ ก่อนจะไหลย้อนถวายพานไปให้ แจ็ค กรีลิช ยิงโล่งๆหน้าประตูง่ายๆเข้าไป
แต่แล้วช่วงทดเวลานาที 90+13 ผู้ตัดสินย้อนดู VAR ก่อนจะกลับมาเป่าให้จุดโทษกับ อิหร่าน แล้วเป็น เมห์ดี้ ตาเรมี่ รับหน้าที่สังหารเข้าไปให้ อิหร่าน ไล่มาเป็น 2-6 และจบเกมไปด้วยสกอร์นี้
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
อังกฤษ (4-2-3-1) : จอร์แดน พิคฟอร์ด - คีแรน ทริปเปียร์, จอห์น สโตนส์, แฮร์รี่ แม็กไกวร์ (เอริค ดายเออร์ น.70), ลุค ชอว์ - เดแคลน ไรซ์, จู๊ด เบลลิงแฮม - ราฮีม สเตอร์ลิง (แจ็ค กรีลิช น.70), เมสัน เมาท์ (ฟิล โฟเด้น น.71), บูคาโย่ ซาก้า (มาร์คัส แรชฟอร์ด น.70) - แฮร์รี่ เคน (คั่ลลัม วิลสัน น.76)
อิหร่าน (4-3-3) : อาลีเรซ่า เบรันวานด์ (ฮอสเซน ฮอสเซนี่ น.18) - ซาเดก โมฮารามี่, มอร์เตซ่า ปูราลิกานจี, มายิด ฮอสเซนี่, มิลาด โมฮัมมาดี้, รูซเบห์ เชสมี่ (โมฮัมหมัด คานาอานี่ น.46) - อาห์หมัด นูรอลลาฮี , เอห์ซาน ฮาจซาฟี่, อลิเรซา จาฮานบัคห์ช (อาลี กลอลิซาเดห์ น.46), อาลี คาริมี่ (เซอิด เอซาโตลาฮี น.46), ซาเดคห์ โมห์ฮาร์รามี่ - เมห์ดี้ ตาเรมี่