นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานลงนามโครงการ 1 สมาคมกีฬา 1 รัฐวิสาหกิจ จาก 400 ล้าน ขึ้นเป็น 1,600 ล้านบาท ตลอดระยะเวลา 4 ปี
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 29 มี.ค.67 ที่ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีลงนาม บันทึกข้อตกลงความร่วมมือการสนับสนุนสมาคมกีฬาจาก หน่วยงานรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชน ณ ตึกสันติไมตรี โดยมีนางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวกีฬา, อารัญ บุญชัย ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา,ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านกีฬา ,ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ,หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ,บริษัทเอกชน, สมาคมกีฬาทุกสมาคม ร่วมลงนาม
โดยมีหน่วยงานของรัฐวิสาหกิจ ที่จะสนับสนุนสมาคมกีฬา มีทั้งสิ้น 15 หน่วยงาน พร้อมด้วยภาคเอกชนอีก 13 บริษัท จะให้การสนับสนุนตลอด 4 ปี และยังมีการกีฬาแห่งประเทศไทย ให้การสนับสนุนสมาคมกีฬาอีก 39.9 ล้านบาท รวมเป็นเงินประมาณ 1,600 ล้านบาท โดยจะสนับสนุน 40 สมาคมกีฬาด้วยกัน
ด้านนายกรัฐมนตรี เผยว่า "วันนี้ถือเป็นวันสำคัญในประวัติศาสตร์ และวันนี้มีคนร่างสุนทรพจน์ให้ตนกล่าว แต่จะเหมาะสมมากกว่าถ้าจะกล่าวจากใจ จริงๆแล้วนโยบายรัฐวิสาหกิจกีฬา รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคไทยรักไทยเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมาเริ่มต้นมาเป็นโครงการแรก ชื่นชมอยู่แล้ว ซึ่งตนเป็นคนรักกีฬา ชื่นชอบอยู่แล้วในเรื่องนี้ ฉะนั้นการที่กลับมาเป็นรัฐบาลในวันนี้จึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก และเข้าใจถึงหัวใจคนรักกีฬา เข้าใจถึงความสำคัญของกีฬา องค์ประกอบลงตัวมาก ไม่ว่าจะเป็น ผู้ช่วยศาสตราจารย์พิมล ศรีวิกรณ์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานอนุกรรมการพิจารณาจัดการสนับสนุนสมาคมกีฬาจากหน่วยงานรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชน ที่รู้จักกันมานาน เข้าใจความรักทุ่มเทให้กับสมาคมที่มีการพัฒนา มีผลงานดีเลิศ ถือเป็นองค์ประกอบที่ลงตัวมาก ไม่ต้องพูดถึงว่ารัฐบาลนี้เรื่องกีฬาเป็นเรื่องสำคัญ"
นายเศรษฐา กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เสียงเชียร์ที่กระหึ่ม รอยยิ้มบนใบหน้าของคนไทยวันนั้น แทบไม่มีการทำงานกันก็ว่าได้ ถือเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้น เราเองอยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับทุกโครงการกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน จะเกิดขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศสในเร็ววันนี้ ฉะนั้นการที่เรามานั่งในวันนี้ถือเป็นเวลาที่เหมาะสม การที่สมาคมกีฬาต่างๆได้รับการอุดหนุนจากรัฐวิสาหกิจในขณะนี้ เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นได้ไม่ใช่เพราะตนคนเดียว คณะทำงานมีความโปร่งใส แฟร์ในการคัดเลือก ดูแลเยาวชนไม่ให้หมกมุ่น ให้มุ่งการออกกำลังกาย ต้องกราบขอบคุณทุกท่านในที่นี้จากใจจริง ไม่ต้องมีการโทรไปใช้อำนาจนายกฯบังคับ ไม่ต้องโทรเลยก็ได้ เพราะเข้าใจถึงเรื่องของวงการกีฬา
นายเศรษฐา กล่าวว่า ส่วนเรื่องของงบประมาณที่สนับสนุนการกีฬาตนทราบดีอยู่จากท่านที่อยู่ในวงการ งบน้อยลงทุกปี จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) หรืองบประมาณแผ่นดินลดน้อยลง
"แต่ตราบใดที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ จะไม่ให้วงการกีฬาต้องขาดงบ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก จะดูแลวงการกีฬาอย่างเต็มความสามารถ เพื่อสมดุลและขยายตัวทางเศรษฐกิจ การใช้งบประมาณอย่างถูกต้อง ปราศจากการทุจริตประพฤติมิชอบ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมจะต้องให้ความสำคัญ ไม่ใช่เงินอัดฉีดหรืองบประมาณอย่างเดียว เรื่องนโยบายก็สำคัญ การที่เราเป็นนักกีฬาแทนที่จะเอาเวลาไปทำอย่างอื่น เพื่อสร้างอาชีพในระยะยาว อายุที่เขาสามารถเล่นกีฬาได้ มีจำกัด สิ่งที่นักกีฬาทุกคนมีความกังวลคือเรื่องของอนาคต เหมือนกับพวกเราทุกคน เรื่องอนาคตสำคัญ บางเรื่องเราไม่ได้อยู่วงการกีฬาก็ไม่ทราบ ว่าระยะเวลาที่เขาสามารถหาเงินได้มันไม่ยาวฉะนั้นการที่เราต้องดูแลบุคลากรที่ทำชื่อเสียงให้กับประเทศชาติถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาล"
นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า "ภาคเอกชนที่ช่วยกันเยอะมาก จ้างคนพิการผู้ด้อยโอกาส ในการเข้าไปอยู่ กลุ่มที่เหมาะสมตนไปดูตัวเลขมาแล้ว ภาคหน่วยงานรัฐ ยังสามารถทำได้ดีกว่านี้ ฉะนั้นเรื่องการอัดฉีดงบเป็นเรื่องหนึ่ง รวมถึงอัดฉีดเหรียญ ทองแดง เหรียญเงิน เพื่อให้นักกีฬาสบายใจเป็นตัวแทนประเทศชาติ ถ้าหมดชีวิตการเป็นนักกีฬาเขาสามารถมีหน้าที่การงานที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี เป็นหน้าที่ของกระทรวง ทบวง กรม ทั้งหลายที่ต้องพิจารณาในการจ้างบุคคลเหล่านี้ ต้องขอบคุณคณะทำงานที่มีความชัดเจนโปร่งใส และให้ทำงานด้วยใจรักที่เพิ่มจำนวนสมาคม และสปอนเซอร์ต่างๆจากรัฐวิสาหกิจ ถือว่าวันนี้เราพูดแต่เรื่องเงิน แต่เชื่อว่าทุกคนสามารถช่วยวงการกีฬาได้ในอย่างอื่น ถ้ามีการใส่ใจ และนโยบายเพิ่มเติมเข้าไปเพราะบุคคลเหล่านี้ถือว่าเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เรื่องกีฬาเราจะต้องช่วยกันดูแลเยาวชนและเด็กที่ต้องพัฒนากันต่อไป ดีใจที่มีวันนี้ ที่ทุกท่านได้มาและเห็นรอยยิ้มเกิดขึ้นได้เพราะพวกท่านทุกคน"
สุดท้ายตัวแทนสมาคมกีฬาต่างๆก็ได้ออกมาชื่นชมและขอบคุณทางรัฐบาลที่ร่วมกันผลักดันให้โครงการดังกล่าวสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี