ดร.สุปราณี คุปตาสา ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ชี้กรณีการหักหัวคิวนักกีฬาไม่ควรเกิดขึ้นแล้ว เพราะตอนนี้กองทุนฯได้แบ่งสัดส่วนเงินรางวัลชัดเจน และโอนเข้าบัญชีนักกีฬาโดยตรง
ตามที่ พ.ต.ท.สืบศักดิ์ ผันสืบ อดีตนักกีฬาตะกร้อทีมชาติไทย ได้มีการยื่นเรื่องถึงสมาคมฯเพื่อให้มีการตรวจสอบถึงการหักหัวคิวนักกีฬาทีมชาติ จากผู้จัดการทีม และ โค้ช ตามที่มีข่าวไปก่อนหน้านั้น ทำให้มีการวิพากวิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง
ดร.สุปราณี คุปตาสา ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ เผยว่า "ขั้นตอนในการเบิกจ่ายเงินรางวัลให้นักกีฬา เมื่อก่อนจะเป็นการสั่งจ่ายเช็ค แต่ในยุคปัจจุบันจะเป็นการโอนเงินตรงเข้าบัญชีนักกีฬา ก่อนหน้านั้นนักกีฬาทุกคนจะต้องมาเซ็นสัญญากับกองทุนฯ เนื่องจากจะมีเรื่องของการตรวจสารต้องห้ามเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย หากนักกีฬามีการตรวจพบสารต้องห้ามจะมีการยึดเงินรางวัลคืน อย่างไรก็ตามเมื่อนักกีฬาแข่งขันจบแล้ว กองทุนฯ จะทำการโอนเงินเข้าบัญชีนักกีฬาโดยตรงโดยไม่ผ่านสมาคมกีฬา เนื่องจากเงินส่วนนั้นเป็นของนักกีฬาทั้งหมด
"อธิบายให้เข้าใจแบบง่ายๆ เงินรางวัลในส่วนของนักกีฬา กองทุนกีฬา จะโอนให้นักกีฬาทั้งหมด ส่วนเงินอีกส่วนเป็นของสมาคม 30 เปอร์เซ็นต์ของเงินรางวัลนักกีฬา และส่วนของผู้ฝึกสอน อีก 20-30 เปอร์เซ็นต์ ของเงินรางวัลนักกีฬา กองทุนฯจะโอนให้สมาคมกีฬานั้นๆไปบริหารจัดการเอง จะเห็นว่าเงินแต่ละส่วนถูกจ่ายอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามส่วนที่นักกีฬาไปทำข้อตกลงกับสมาคมกีฬานั้น กองทุนฯ ไม่ได้รับทราบด้วย เพราะเป็นข้อตกลงที่ สมาคมฯกับนักกีฬาทำขึ้นมาเอง แต่ส่วนตัวแล้วมองว่าไม่ควรเกิดขึ้น และไม่ควรมีเพราะแต่ละส่วนได้เงินของตัวเองกันหมดแล้ว"
ผจก.กองทุน ยังเผยอีกว่า สำหรับ สมาคมกีฬาตะกร้อ ที่มีปัญหาร้องเรียนกันอยู่ นักกีฬาตะกร้อชุดเอเชียนเกมส์ครั้งล่าสุด ได้เงินรางวัลกว่า 86 ล้าน เงินส่วนนี้โอนตรงเข้าบัญชีนักกีฬา อีก 2 ส่วน คือเงินรางวัลของสมาคม จะได้ 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่เกิน 10 ล้านบาท ดังนั้นจะได้เงินครั้งนี้ 10 ล้านบาท และ ส่วนของผู้ฝึกสอนตามเกณฑ์ ไม่เกิน 6 คน จะได้ 20 เปอร์เซ็นต์
ซึ่งครั้งนี้ได้ไป 8.8 ล้านบาท ดังนั้นยอดรวมที่โอนให้สมาคมฯจะอยู่ที่ 18.8 ล้านบาท มองว่ามากพอสมควรแล้ว เงินส่วนนี้ที่สมาคมได้รับเป็นเงินได้ป่าว ยังไม่รวมไปถึงงบประมาณเก็บตัวฝึกซ้อมที่กองทุนก็จ่ายอยู่แล้ว หรืองบประมาณสนับสนุนประจำปี ที่การกีฬาแห่งประเทศไทย จ่ายสนับสนุนให้ทุกปีอยู่แล้ว