“โรเบิร์ตสัน” อัด “บิงแฮม” เละ 10-0 ผงาดโทรฟี่สนุกเกอร์เวิลด์กรังด์ปรีซ์

เป็นที่ทราบกันดีว่า ศึก เวิลด์ กรังด์ปรีซ์ หนนี้ ได้มีการเพิ่มเงินรางวัล โดยปีก่อนแชมป์ได้เพียง 100,000 ปอนด์(ประมาณ 4.4 ล้านบาท) ส่วนปีนี้แชมป์จะรับทรัพย์ถึง 180,000 ปอนด์ (ราวๆ 7.8 ล้านบาท) จึงเป็นที่เชื่อกันว่า จอมคิวแต่ละคนที่ได้สิทธิ์ลงแข่งขันในรายการนี้ จะสู้กันอย่างสุดชีวิตเป็นแน่แท้ เพื่อหอบเงิน 1.8 แสนปอนด์ กลับไปนอนกอดที่บ้านให้ได้

ทว่าตลอดทัวร์นาเมนต์ มีการขอถอนตัวขึ้นถึง 3 ครั้งด้วยกัน เริ่มจากแชมป์เก่าอย่าง “เดอะร็อกเก็ต” รอนนี่ โอซัลลิแวน มือ 4 ของโลกจากอังกฤษ ที่ตัดสินใจถอนตัว (อีกแล้ว) ด้วยเหตุผลทางการแพทย์เหมือนเดิม

การถอนตัวดังกล่าว ส่งผลให้จอมคิวซูเปอร์สตาร์เบอร์ 1 แห่งวงการ จะไม่ได้สิทธิ์ลงแข่งขันในอีก 2 รายการต่อไปด้วย ทั้งศึกเพลย์เยอร์สแชมเปี้ยนชิพ กับ ทัวร์แชมเปี้ยนชิพ เนื่องจากคะแนนสะสมเฉพาะฤดูกาลปัจจุบัน (one year ranking) ของเขา อยู่ในอันดับ 31 ไม่เพียงพอต่อการคว้าตั๋วเข้าไปวาดลวดลายในเพลย์เยอร์สแชมเปี้ยนชิพ กับ ทัวร์แชมเปี้ยนชิพ ที่จะคัดเอานักสอยคิวที่มีคะแนนสะสม one year ranking ในอันดับท็อป 16 และท็อป 12 ตามลำดับ

นอกจาก รอนนี่ แล้ว สตีเฟ่น แม็กไกวร์ มือ 27 ของโลกจากสกอตแลนด์ ก็ตัดสินใจถอนตัวเช่นกัน ก่อนที่จะลงแข่งในรอบแรก กับ ฌอน เมอร์ฟี่ มือ 8 ของโลก จากอังกฤษเพียงไม่กี่วัน ด้วยเหตุผลส่วนตัว และมันก็ส่งผลให้จอมคิวจากแดนวิสกี้ มีคะแนนสะสม one year ranking อยู่ในอันดับ 30 เท่านั้น ไม่มากพอที่จะดวลคิวทั้งในศึกเพลย์เยอร์สแชมเปี้ยนชิพและทัวร์แชมเปี้ยนชิพ

ขณะที่ แจ๊ค ลิซอฟสกี้ มือ 25 ของโลก จากอังกฤษ อุตสาห์เอาชนะ จาง อั้น ต๋า มือ 10 ของโลกจากจีนในรอบแรก (รอบ 32 คน)ไปได้แล้ว 4-2 เฟรม แต่ต้องถอนตัวกะทันหันในรอบ 2 ก่อนที่จะพบกับเพื่อนรัก จัดด์ ทรัมป์ มือ 1 ของโลกจากอังกฤษเพียง 1-2 วันเท่านั้น ส่งผลให้ “หนุ่มแจ๊ค” ชวดลงแข่งทั้งเพลย์เยอร์สแชมเปี้ยนชิพ กับ ทัวร์แชมเปี้ยนชิพ เนื่องจากคะแนนสะสม one year ranking ของเขาอยู่เพียงอันดับ 18 

สำหรับเหตุผลที่เขาถอนตัว น่าเห็นใจไม่น้อย เนื่องจากคุณพ่อป่วยหนัก กระทั่งล่าสุด บิดาบังเกิดเกล้าของ แจ๊ค ลิซอฟสกี้ ได้จากไปแล้ว นับเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก

นอกจากจะมีการถอนตัวถึง 3 เหตุการณ์แล้ว ตลอดการแข่งขันเวิลด์กรังด์ปรีซ์ 2025 บรรดามือท็อป 16 ของโลก ต่างนัดกันฟอร์มตกหลายคน จนทำให้คู่ชิงชนะเลิศ เป็นการโคจรมาพบกันของ 2 นักสอยคิวที่ไม่ได้อยู่ในท็อป 16 ของโลกด้วยกันทั้งคู่ ได้แก่ นีล โรเบิร์ตสัน กับ สจวร์ต บิงแฮม แม้ต่างฝ่าย ต่างจะเคยประสบความสำเร็จ กับการคว้ารายการอย่างอย่างแชมป์โลกและมาสเตอร์สมาแล้วก็ตาม เนื่องจากฟอร์มในช่วง 1-2 ปีหลัง ทั้งคู่ต่างดร็อปลงไปเยอะมาก

ในรอบชิงชนะเลิศ แฟนกีฬาแม่นรูทั้งหลาย ก็ต้องพบกับรูปเกมที่ขาดลอยเกินคาดเมื่อ นีล โรเบิร์ตสัน เป็นฝ่ายจัดการกด สจวร์ต บิงแฮม ไปแบบหมดทางสู้ 10-0 เฟรม ทั้งๆที่ 1 วันก่อนหน้านั้น บิงแฮม เพิ่งจะกราบตัวเต็งอย่าง จัดด์ ทรัมป์ มือ 1 ของโลก ในรอบรองชนะเลิศมาหมาดๆ 6-3 เฟรม

ผลการแข่งขันดังกล่าว จึงกลายเป็นครั้งที่ 2 ของการแข่งขันสนุกเกอร์อาชีพโลก ที่รอบชิงชนะเลิศ ผู้ชนะเป็นฝ่ายกดผู้แพ้ด้วยสกอร์ 10-0 เฟรม ต่อจากในศึกกรังด์ปรีซ์ 1989 ซึ่ง “เทพบุตรคิวทอง” สตีฟ เดวิส เป็นฝ่ายถลุง ดีน เรย์โนลด์ส อยู่ข้างเดียว 10-0 เฟรม เมื่อราว 26 ปีที่แล้ว

ฟอร์มอันยอดเยี่ยมของ นีล ที่แทงได้ดีตลอดทัวร์นาเมนต์ จนคว้าแชมป์หนนี้ ทำให้เขาคว้าแชมป์เวิลด์กรังด์ปรีซ์เป็นหนที่ 2 ต่อจากปี 2020 นับเป็นถ้วยแชมป์รายการระดับเวิลด์แรงค์กิ้งใบที่ 25 ของเจ้าตัวอีกด้วย รับเงินรางวัล 180,000 ปอนด์(7.8 ล้านบาท) 

นอกจากนี้ การคว้าแชมป์ดังกล่าว ส่งผลให้จอมคิวจากแดนจิงโจ้ ที่เพิ่งมีอายุครบ 43 ปี เมื่อเดือนก่อน โกยคะแนนสะสมแบบจัดเต็มถึง 180,000 แต้ม จนมีอันดับโลกพุ่งขึ้นถึง 8 ขั้น จากอันดับ 19 ทะยานขึ้นมารั้งอันดับ 11 ของโลกแล้ว พร้อมกับมีคะแนนสะสมประเภท one year ranking ขึ้นไปรั้งอันดับ 3 เป็นที่เรียบร้อย โดยเป็นรองเพียง จัดด์ ทรัมป์ กับ ไคเรน วิลสัน มือ 1 และมือ 2 ของโลกจากอังกฤษเท่านั้น

ด้าน สจวร์ต บิงแฮม เหมือนเอาฟอร์มอันยอดเยี่ยมของเขา ไปหมดกับแมตช์รอบรองชนะเลิศที่โค่น จัดด์ ทรัมป์ 6-3 เฟรม จึงทำให้แทงไม่ออกในรอบชิงชนะเลิศ

การคว้ารองแชมป์หนนี้ ทำให้อดีตแชมป์โลกปี 2015 ยังคงต้องรอคอยความสำเร็จ ในศึกเวิลด์กรังด์ปรีซ์ต่อไป รับเงิน 80,000 ปอนด์ (ราว 3.5 ล้านบาท) เป็นรางวัลปลอบใจ

นอกจากนี้ ยังได้รับคะแนนสะสมเพิ่มขึ้น 80,000 ปอนด์ จนขยับจากอันดับ 23 ขึ้นมารั้งอันดับ 20 ของโลก พร้อมกับมีคะแนนสะสม one year ranking ขึ้นมารั้งอันดับ 14 เพียงพอต่อการคว้าตั๋วไปลุยศึกเพลย์เยอร์สแชมเปี้ยนชิพ 2025 ระหว่างวันที่ 31 มี.ค.-6 เม.ย.68 ที่เมืองเทลฟอร์ด ประเทศอังกฤษต่อไป