ในขวบวัย 12 ปี แต่ละคนกำลังทำอะไรกันอยู่บ้าง ส่วนในขวบวัย 12 ปี ของ "เอสที" วารีรยา สุขเกษม นักสเก็ตบอร์ดตัวน้อย กำลังจะเข้าร่วมโอลิมปิกเกมส์ 2024 ซึ่งจะมีขึ้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส 26 ก.ค. - 11 ส.ค.นี้
การคว้าตั๋วของ "เอสที" วารีรยา สุขเกษม ถือเป็นหนึ่งปรากฎการณ์ที่สร้างความฮือฮาให้กับวงการสเก็ตบอร์ดโลก รวมถึงวงการกีฬาไทย หลังเจ้าตัวผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ในการแข่งขันแมตช์เก็บคะแนนสำคัญ ที่ฮังการี เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งก็เป็นผลให้อันดับโลกของ "เอสที" ขยับขึ้นมารั้งอันดับ 18 ของโลก (ก่อนแข่งอยู่อันดับ 35) ซึ่งนั่นก็ทำให้ "เอสที" เป็น 1 ใน 22 นักสเก็ตบอร์ดหญิง จากทั้งหมด 130 คน ประเภทสตรีท ที่ได้ลุยศึก "ปารีส 2024"
ความสำเร็จดังกล่าวถือเป็นหนึ่งในบันทึกหน้าประวัติศาสตร์ของวงการกีฬาไทยด้วย เพราะนี่คือนักกีฬาอายุน้อยที่สุดที่ได้โควตาเข้าร่วมโอลิมปิกเกมส์รอบสุดท้าย หลังเมื่อ 3 ปีที่แล้ว "กัปตัน" อิสรานุดม ภูริหิรัญพัชร์ สร้างความฮือฮาได้โควตาลุยโอลิมปิก "โตเกียว 2020" ประเภทปืนสั้นยิงเร็ว 25 ม.ชาย ในวัยเพียง 15 ปี และ "เอสที" ยังเป็นนักกีฬาสเก็ตบอร์ดที่อายุน้อยสุดในศึก "ปารีส 2024" ด้วย
"เอสที" เผยว่า ก่อนเดินทางไปแข่งขันที่กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ก็ไปด้วยความคาดหวังที่ว่าจะคว้าตั๋วโอลิมปิกเกมส์ 2024 ให้ได้ ซึ่งก็ทำให้ตัวเองมีความกดดันและเครียดกับการแข่งขันด้วย เพราะแมตช์นี้ถือเป็นสนามสุดท้ายที่ตนจะได้ลงแข่งขันเพื่อเก็บคะแนน ซึ่งก็พยายามรวบรวมสมาธิและไม่คิดเรื่องที่จะทำให้กดดัน ก่อนสุดท้ายจะทำได้จริงๆ
"หลังจากหนูแข่งเสร็จ หนูถูกพาไปตรวจสารกระตุ้น ตอนนั้นยังไม่ทราบว่าตัวเองได้ไปโอลิมปิกหรือเปล่า ซึ่งพอหลังตรวจเสร็จ คุณแม่และคุณพ่อที่เดินทางไปด้วย ก็บอกข่าวดีกับหนูว่า หนูทำคะแนนถึง ได้ไปแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่ปารีสแล้ว ซึ่งวินาทีนั้น หนูดีใจมากๆค่ะ แล้วก็ภูมิใจในตัวเองมากๆด้วยเช่นกัน อยากขอบคุณคุณพ่อและคุณแม่ที่สั่งสอนและเป็นโค้ช อยู่กับหนูทุกๆเวลาจนมีวันนี้ค่ะ"
"กับโอกาสที่ได้เข้าไปแข่งขันโอลิมปิกเกมส์รอบสุดท้าย หนูก็จะพยายามทำหน้าที่ให้เต็มที่ที่สุด เพื่อเป็นของขวัญให้กับคุณพ่อและคุณแม่ รวมถึงคนไทยที่รอเชียร์นักกีฬาไทย"
วสุวัฒน์ สุขเกษม ผู้เป็นพ่อเผยว่า ครอบครัวสนับสนุนให้น้องเล่นกีฬามาตั้งแต่เด็กๆ เพียงเพราะหวังว่าน้องจะได้ใช้เวลาว่างและมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง โดยเริ่มต้นจากการให้ไปฝึกสเก็ตน้ำแข็ง ซึ่งวันแรกที่ใส่รองเท้าลงลานเขาเล่นได้เลย ซึ่งเหมือนจะดี แต่ด้วยความที่สนามไกลบ้าน คุณแม่จึงแนะนำให้น้องเปลี่ยนมาเล่นโรลเลอร์เบลดแทน อย่างไรก็ตามสนามฝึกซ้อมที่อยู่ใกล้บ้านมาประสบเหตุไฟไหม้ก่อน ทำให้ไม่มีสถานที่ฝึกซ้อม คุณแม่เลยพาไปซ้อมที่สนามสเก็ตบอร์ดที่อยู่ใกล้ๆบ้านแทน
"ต้องบอกว่าอันนี้เป็นความตั้งใจของแม่เขาเลย พาลูกไปซ้อมโรลเลอร์เบลดในสนามสเก็ตบอร์ด ก่อนออกอุบายว่าสนามนี้ที่เรามาซ้อม ให้ซ้อมได้แค่สเก็ตบอร์ด พอไปถึงสนาม คุณแม่ก็เลยไปซื้อสเก็ตบอร์ดให้น้องในวันนั้นเลย หลังจากวันนั้นคุณแม่ก็พาลูกไปเล่นและซ้อมสเก็ตบอร์ดเกือบทุกวันครับ ซึ่งถ้าให้นับก็เริ่มเล่นสเก็ตบอร์ดช่วง 6-7 ขวบครับ ถึงตอนนี้ก็เล่นมา 5-6 ปีได้ ส่วนผมกับคุณแม่ก็จะคอยติวและเทรนให้น้องเท่าที่ทำได้ และมักจะไปกับน้องในทุกๆสนามแข่ง"
ด้าน ตุลย์รยา สุขเกษม ผู้เป็นแม่เผยว่า จริงๆตนเองมีความรู้สึกชอบและมองว่ากีฬาชนิดนี้ดูเท่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพียงแต่สำหรับตนเองเลยวัยที่จะเป็นฝึกหัดเล่นแล้ว ดังนั้นเมื่อมีลูกสาวและเห็นว่าลูกสาวจะชอบกีฬาสไตล์นี้จึงแนะนำให้เขาลองเล่นดู ซึ่งปรากฎว่าเขาชอบกีฬานี้ด้วย ทุกอย่างจึงไปในแนวทางเดียวกัน และตนเองและครอบครัวก็พร้อมสนับสนุนด้วย ส่วนการที่น้องมาเล่นกีฬาที่ค่อนข้างผาดโผน ก็มีห่วงบ้าง แต่ทุกครั้งที่น้องล้ม น้องไม่บ่นหรือร้องไห้ แต่ยิ่งอยากทำท่านั้นซ้ำๆเพื่อให้สำเร็จ ซึ่งเราก็มองว่าเมื่อเขามีความต้องการและมุ่งมั่นเช่นนี้ ก็ยินดีที่จะสนับสนุนเขาไปสู่เป้าหมายในทุกๆเป้าหมาย
ทั้งนี้ อภิชัตย์ รัตนิน อุปนายกสมาคมกีฬาเอ็กซ์ตรีมแห่งประเทศไทย ยืนยันว่า สมาคมพร้อมให้การสนับสนุน "น้องเอสที" ซึ่งเป็นนักกีฬาคนแรกของสมาคมที่คว้าตั๋วลุยโอลิมปิกเกมส์อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการปรับปรุงสนามฝึกซ้อมภายในกกท. หัวหมาก ให้มีความคล้ายคลึงกับสนามแข่งขันจริงที่ปารีส
"น้องทำให้เห็นชัดเจนว่าเด็กไทยเก่งจริงและทำได้จริง และน้องก็ยังทำให้เห็นว่าแม้จะอายุแค่ 12 ปี แต่หากเรามุ่งมั่นอยากทำอะไรให้สำเร็จนั้น เมื่อลงมือทำอย่างจริงจังแล้ว ก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้ และการไปลุยโอลิมปิกเกมส์ปารีสได้ก็ถือเป็นกำไรและประสบการณ์สุดล้ำค่า ซึ่งน้องก็จะได้เรียนรู้กับนักกีฬาฝีมือระดับโลกเพื่อให้แข็งแกร่งยิ่งๆขึ้นไป" นายอภิชัตย์ ทิ้งท้าย