ชั่วโมงนี้ เมืองทอง ยูไนเต็ด คือทีมที่น่าจะถูกกล่าวถึงมากที่สุดในสโมสรไทย กับฟอร์มอันเปล่งปลั่งหลังเก็บชัยชนะ 5 เกมรวดในทุกรายการที่ลงสนาม
แม้สถานะปัจจุบันกิเลนผยองจะลุ้นแชมป์ลีกค่อนข้างยาก เนื่องจากเป็นรองทีมอื่นๆ ในหลายๆ ด้าน แต่ถ้ามองถึงยอดแฟนคลับ ยังไงเสีย พวกเขาก็ยังเป็นเบอร์หนึ่งของสยามประเทศ
ยอดคนกดไลค์ทางเฟซบุ๊ก (Facebook) รวมไปถึงผู้ติดตามทางยูทูบ (YouTube) - เมืองทอง ยืนหนึ่งอยู่บนยอดพีระมิดมานานหลายปี ดังนั้นทุกข่าวสารและความเป็นไปในแง่มุมต่างๆ ของสโมสรจึงเป็นที่นิยมในหมู่คอลูกหนังบ้านเรา
ฤดูกาล 2024-25 พวกเขาเริ่มต้นอย่างกระท่อนกระแท่น ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย ไล่ตั้งแต่ตำแหน่งเฮดโค้ช ไปจนถึงตัวผู้เล่นที่ต่างจากซีซั่นก่อนแบบแทบจะคนละทีม
มิลอส ย็อคซิช > จิโน่ เล็ตติเอรี่
กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ > กิตตติพงษ์ ภูแถวเชือก
แบ็กโฟร์ มีเพียง มีเพียง ทริสต็อง โด รายเดียวที่เหลืออยู่ นอกนั้นคือปรับหมดยกแผง โดยเฉพาะคู่เซนเตอร์ฮาล์ฟที่เป็นหัวใจในเกมรับก็ปรับจาก ฌอง-โคล้ด บีลลง กับ อี แช-ซอง มาเป็น อับบอส โอตาโคนอฟ และ อาลี ซิสโซโก้ (บางเกมก็เล่นกองหลัง 3 คน)
แต่ที่ส่งผลกระทบมากที่สุดคงหนีไม่พ้นการย้ายออกของ เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์ และ วิลเลียน พ็อพพ์ ซึ่งเป็นขุมกำลังสำคัญอย่างยิ่งยวดของทีมในฤดูกาล 2023-24
เข้าใจได้ ว่าทุกสรรพสิ่งนั้นมีวัฏจักรของมัน ทว่ากับ เมืองทอง นั้นถือว่าต้องปรับตัวกับสิ่งใหม่ๆ บ่อยมาก แถมความคาดหวังจากแฟนๆ ของสโมสรก็สูงทีเดียว แม้จะไม่ต้องถึงแชมป์ลีก แต่อย่างน้อยสาวกกิเลนผยองก็อยากเห็นทีมไปได้ไกลที่สุดในฟุตบอลถ้วย
พวกเขาเริ่มต้นซีซั่น 2024-25 ด้วยความพ่ายแพ้ต่อ นครราชสีมา เอฟซี น้องใหม่ (หน้าเก่า) แบบที่บุกทั้งเกมแต่กลับยิงไม่ได้เอง
จากนั้นก็ลุ่มๆ ดอนๆ แถมยังมีช่วงที่ไม่ชนะใครเลยในทุกรายการ 8 นัดติดต่อกัน ทั้งยังเสมอ ไดนามิค เฮิร์บ เซบู ที่ ราชมังคลากีฬาสถาน และปราชัย ประจวบ เอฟซี คาบ้านตัวเอง แถมยังตกรอบ ลีก คัพ ด้วยน้ำมือของทีม ไทยลีก 3 อย่าง เมืองตรัง ยูไนเต็ด
เรียกได้ว่าฟอร์มย่ำแย่สุดๆ ซึ่งก็ทำให้เก้าอี้ของ เล็ตติเอรี่ สุ่มเสี่ยงที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลง
ทว่าจากทั้งหมดทั้งมวล หากมองลึกถึงรายละเอียดเรื่องรูปแบบการเล่น ต้องบอกว่าจริงๆ แล้วผลงานของ เมืองทอง ไม่น่าจะดิ่งลงขนาดนั้น ไม่เว้นกระทั่งเกมที่พวกเขาบุกไปพ่าย ชนบุค ฮุนได มอเตอร์ส ที่เกาหลีใต้ ที่วันนั้นกิเลนผยองน่าจะมีแต้มกลับมา แต่ปัญหาเดิมๆ กับการจบสกอร์ไม่คม ทำให้ต้องแพ้ไปแบบน่าเสียดาย
เล็ตติเอรี่ กุนซือคนปัจจุบันมักจะให้สัมภาษณ์อยู่เสมอว่า "รอความมั่นใจ" เพราะถ้ามาเมื่อไหร่ ผลงานที่ดีจะตามมาเอง
จุดเปลี่ยนของ เมืองทอง น่าจะเริ่มต้นจากการบุกไปถล่ม เซบู ที่ฟิลิปปินส์ 9-2 นั่นแหละ เพราะหลังจากเกมนั้นพวกเขาก็เก็บชัยชนะเรื่อยมาจนถึงตอนนี้
โดยเฉพาะ 2 เกมหลังสุดนี่ต้องให้เครดิตกับ เล็ตติเอรี่ และลูกทีมของเขาจริงๆ เพราะเก็บชัยจาก แบงค็อก ยูไนเต็ด ที่ไร้พ่ายทุกรายการ 17 เกมติดต่อกัน รวมไปถึงล่าสุดกับการบุกไปควัก 3 คะแนน จาก เซลังงอร์ สโมสรเบอร์สองของมาเลเซีย ได้สำเร็จ
แม้ว่าเกมที่ เปตาลอง จาญ่า สเตเดี้ยม จะมี 'โชค' เข้าข้างมากๆ กับการที่เจ้าถิ่นยิงไปชนเสาถึง 3 หน แถมยังมีจังหวะสับไกแบบเน้นๆ อีกนับไม่ถ้วน แต่กระนั้น ถ้าหาก เฟลิซิโอ บราวน์ และ ปรเมศย์ อาจวิไล ไม่สามารถเปลี่ยนโอกาสที่มีให้เป็นประตู บางทีกิเลนผยองก็คงต้องคอตกกลับบ้านเช่นกัน
เท่ากับว่า ณ ตอนนี้ เมืองทอง ชนะรวด 5 นัด อันดับใน ไทยลีก ก็ขยับขึ้นสู่แดนบน ทั้งยังมีโปรแกรมในมืออีก 2 เกม เพราะแข่งน้อยกว่าทีมอื่นๆ เช่นเดียวกันในถ้วย เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 ที่พวกเขาได้ลุ้นไปจนถึงแมตช์สุดท้ายว่าจะได้ผ่านสู่รอบน็อก-เอาต์หรือไม่
ประโยคที่ เล็ตติเอรี่ กล่าวและหวังไว้กำลังเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ
มันคือ 'ความมั่นใจ' ที่ค่อยๆ มาทีละนิด จากที่ใช้โอกาสในการจบสกอร์ได้ไม่คุ้มค่านัก ณ ปัจจุบัน เมืองทอง สามารถเปลี่ยนให้เป็นประตูได้บ่อยครั้ง และจาก 5 เกมหลังสุด ไม่มีเกมใดเลยที่ยิงน้อยกว่า 2 ลูก
เท่านั้นไม่พอ กิเลนผยองซัดรวมกันไปมากกว่า 19 ประตู
หากอีดตแชมป์ ไทยลีก 4 สมัย ยังสามารถรักษามาตรฐานนี้ต่อไป รับประกันเลยว่าพวกเขาอาจจะหยิบโทรฟี่ใดโทรฟี่หนึ่งในฤดูกาล 2024-25 มาเพิ่มในตู้โชว์ของสโมสรอีกครั้ง เพราะห่างเหินมาหลายปีเหลือเกิน
'ความมั่นใจ' พากิเลนร้อนแรง
ชิกกะด้าว