เลกแรกของฤดูกาล 2023-24 ผู้สันทัดกรณีแทบทุกฝ่ายต่างชี้ว่า แบงค็อก ยูไนเต็ด น่าจะคว้าถ้วย ไทยลีก มาครองได้เป็นหนแรกในประวัติศาสตร์ (ไม่นับรวมปี 2006 ที่ใช้ชื่อมหาวิทยาลัยกรุงเทพ) เนื่องจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะฟอร์มที่คงเส้นคงวาหรือคู่แข่งพากันสะดุด แต่แล้วผลงานของพวกเขาก็ค่อยๆ ดร็อปลง ว่าแล้ว 'SIAMSPORT' จึงสรุป 5 ข้อที่ทำให้บียูพลาดลุ้นแชมป์โค้งสุดท้าย!!
[ 1 ] ถ้วยเอเชีย มีผล
ด้วยความที่ แบงค็อก ได้โควตาผ่านเข้าไปเล่น เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก 2023-24 รอบแบ่งกลุ่มโดยอัตโนมัติ กับในฐานะ 'อันดับ 2' ไทยลีก 2022-23 ทำให้พวกเขาต้องมีโปรแกรมเพิ่มมากขึ้นแน่ๆ อย่างน้อย 6 เกม
เท่านั้นไม่พอ การจับสลากแบ่งสายก็ค่อนข้างเป็นใจ เพราะบียูอยู่ในกลุ่มที่ไม่หนักมากนัก เนื่องจากมีเพียง ชนบุค ฮุนได มอร์เตอร์ส จากเกาหลีใต้ เท่านั้นที่สร้างปัญหาให้ ที่เหลืออย่าง คิตฉ๊ (ฮ่องกง) และ ไลอ้อน ซิตี้ เซเลอร์ส (สิงคโปร์) มาตรฐานยังห่างพอสมควร
ผลงานของ แบงค็อก ใน เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก 2023-24 ไปได้สวยมากๆ เพราะคว้าแชมป์กรุ๊ป เอฟ ผ่านสู่รอบ 16 ทีม สุดท้ายได้เป็นหนแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร โดยไปปะทะ โยโกฮามะ มะรินอส ตัวแทนญี่ปุ่น
เท่ากับพวกเขาต้องแข่งเพิ่มอีก 2 เกม นั่นหมายความว่าทัพแข้งเทพต้องลงสนามมากกว่าสโมสรในเมืองไทย ถึง 8 นัด เลยทีเดียว
ขณะที่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กับ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ซึ่งอยู่ในกลุ่มลุ้นแชมป์ลีกด้วยกันนั้นตกรอบแบ่งกลุ่ม แม้จะไม่ใช่สิ่งที่ทั้งสองทีมปรารถนา แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องเดินทางไกลเหมือน แบงค็อก ที่บินออกนอกประเทศถึง 4 เที่ยว
ความเหนื่อยล้าหรือการรักษาสภาพร่างกายอาจจะนำมาเป็นข้ออ้างมากไม่ได้ แต่ก็ปฏิเสธได้ลำบากเช่นกันว่ามันคือหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้บียูต้องพลาดการลุ้นแชมป์ ไทยลีก ในช่วงโค้งสุดท้าย
หากพวกเขามีประสบการณ์ในถ้วยเอเชีย มากกว่านี้ บางทีการสลับหมุนเวียนผู้เล่นอาจจะทำได้ดีกว่าที่ผ่านมาก็ได้ เพราะฟุตบอลยุคปัจจุบันสมรรถภาพร่างกายคือสิ่งสำคัญจริงๆ
[ 2 ] ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ได้รับบาดเจ็บ
ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ชื่อนี้การันตีตำแหน่งในทีมชาติไทย แน่นอน และด้วยความที่เป็นนักเตะที่มีพละกำลังล้นเหลือ เขาจึงถูกยกย่องให้เป็นมิดฟิลด์ประเภท บ็อกซ์ ทู บ็อกซ์ ที่ดีที่สุดของสยามประเทศ
ฟอร์มการเล่นของกองกลางวัย 30 ปี กำลังอยู่ในช่วงพีก เขาสอดประสานกับ ทศวรรษ ลิ้มวรรณเสถียร และ ปกเกล้า อนันต์ ได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะรับหรือรุก สาวกบียูจะเห็นหมอนี่อยู่ทั่วทุกหนแห่งบนฟลอร์หญ้า
ผลงานของ ฐิติพันธ์ โดดเด่นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ย้ายจาก บีจี ปทุม ยูไนเต็ด มาอยู่ในรั้ว ทรู สเตเดี้ยม เมื่อเลกที่สองของซีซั่น 2022-23 ซึ่งพี่แกนี่แหละที่เป็นฟันเฟืองสำคัญในการพา แบงค็อก ลอยติดลมบน
การมีมิดฟิลด์คนนี้อยู่ในสนามทำให้เพื่อนๆ ข้างกายเล่นง่ายขึ้นมาก เพราะเขาจะเป็นตัวเชื่อมระหว่างแดนหลังสู่กองกลาง และรวมไปถึงการหาช่องว่างในแดนคู่ต่อสู้ เพื่อทำลายกำแพงเกมรับฝั่งตรงข้าม ซึ่งถือว่ามีประโยชน์ต่อทีมมหาศาล
ทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดี ในลีกก็นำเป็นจ่าฝูง เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็กำลังไปได้สวย แต่แล้วข่าวร้ายก็มาเยือนในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2023 แบงค็อก ต้องหมดสิทธิ์ใช้งาน ฐิติพันธ์ ยาวๆ กับการได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงบริเวณเอ็นประกบข้างด้านในและเอ็นไขว้หน้า
แม้ว่าช่วงแรกๆ ที่ไร้มิดฟิลด์หมายเลข 18 ในสนามจะไม่ส่งผลกระทบเท่าไหร่ แต่นานวันเข้า เวลาที่ไอเดียตีบตัน บียูก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน ซึ่งแตกต่างจากตอนที่มีกองกลางไดนาโมคอยกระตุ้นเพื่อนร่วมทีมจนนำมาซึ่งชัยชนะในหลายๆ นัด
ด้วยเหตุนี้เอง การไม่มี ฐิติพันธ์ ลงสนามจึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้การลุ้นแชมป์ของ แบงค็อก ต้องสะดุดลงอย่างน่าเสียดาย
[ 3 ] ตัวสำรองได้โอกาสน้อยไปหน่อย
แบงค็อก คือทีมใหญ่ของเมืองไทย พวกเขามีลุ้นแชมป์ในทุกๆ ซีซั่น นับตั้งแต่กลุ่ม ทรู คอร์เปอเรชั่น เข้ามาบริหารสโมสร บียูก็กลายเป็นหนึ่งในตัวเต็งอยู่เสมอ
แน่นอนว่าการอยู่ในระดับนี้ พวกเขาย่อมมีขุมกำลังผู้เล่นที่สามารถแบ่งออกเป็น 2 ชุด ได้สบายๆ
ผู้รักษาประตูมี ปฏิวัติ คำไหม เป็นมือหนึ่ง ส่วนรองลงมาคือ วรุฒ เมฆมุสิก แต่ตำแหน่งนี้เปลี่ยนบ่อยไม่ได้ เพราะต้องการความต่อเนื่องเพื่อสื่อสารกับกองหลังให้ลงตัวที่สุด
แนวรับ - นักเตะในตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟเก่งๆ ทั้งนั้น ไล่ตั้งแต่ เอแวร์ตอน กัปตันทีม, มานูเอล ทอม บีร์ห และ สุพรรณ ทองสงค์ ที่ฟอร์มดีจนกลับไปติดทีมชาติไทย อีกครั้ง นอกจากนี้ พุทธินันท์ วรรณศรี ก็เล่นปราการหลังตัวกลางได้เช่นกัน
เรียกว่าตัวเลือกมีหลายหลาก ขึ้นอยู่ที่ว่าจะใช้แท็กติกใดในแต่ละเกม
ฟูลแบ็ก - ฟากขวามีทั้ง นิติพงษ์ เสลานนท์ และ บุญทวี เทพวงศ์ ส่วนฝั่งซ้ายเป็นหน้าที่ของ พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา กับ วันชัย จารุนงคราญ
ขยับมาที่แผงมิดฟิลด์ แน่นอนว่า ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ คือแกนหลักสำคัญ แต่ดันเจ็บยาว ทว่าในเลกที่สอง แบงค็อก ก็ไปคว้า วีระเทพ ป้อมพันธ์ กองกลางตัวจริงทีมชาติไทย มาเสริม ส่วนคนที่มีอยู่ก็เก่งกาจทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ทศวรรษ ลิ้มวรรณเสถียร, ปกเกล้า อนันต์ หรือ รัชนาท อรัญญไพโรจน์ โดยมี ทัศนพงษ์ หมวดดารักษ์ คอยสแตนด์บายอีกราย
เท่านั้นไม่พอ วิศรุต อิ่มอุระ ตัวรับอนาคตไกลก็สลัดอาการบาดเจ็บกลับมาเป็นอีกหนึ่งทางเลือก พร้อมกับ บราเซล จราดี้ เพลย์เมเกอร์ดีกรีทีมชาติเลบานอน
ส่วนแนวรุก ริมเส้นอาจจะไร้ วานแดร์ ลุยส์ ในเลกแรก แต่เลกที่สองหมอนี่ก็กลับมาแล้ว ทั้งยังมี มะห์มู๊ด ไอด์ ที่ฟอร์มคงเส้นคงวา พ่วงด้วย รุ่งรัตน์ ภูมิจันทึก ที่กลับมาเฉิดฉายอีกครั้งในฤดูกาลปัจจุบัน ร่วมด้วย อานนท์ อมรเลิศศักดิ์ หรือ ชญาวัต ศรีนาวงษ์ ที่ขยับมาเล่นด้านข้างได้เช่นกัน
ปิดท้ายที่หัวหอกตัวเป้า วิลเลน โมต้า ยืนหนึ่งแน่ แต่คนอื่นๆ ไล่ตั้งแต่ อมาดู ซูคูน่า, อดิศักดิ์ ไกรษร ที่ย้ายมาเลกที่สอง รวมไปถึง กัณตภณ คีรีแลง ดาวรุ่งช้างศึกชุดเล็กก็พร้อมที่จะทำหน้าที่แทน
ด้วยขุมกำลังขนาดนี้ มันจึงสามารถจัดเป็น 2 ชุด ได้สบายๆ และถ้าวางแผนดีๆ การที่นักเตะตัวสำรองได้ลงเล่นบ่อยครั้ง มันจะทำให้พวกเขามีความมั่นใจเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาฝีเท้าไปในตัว
หลายๆ เกมที่ แบงค็อก มักจะใช้นักเตะชุดเดิมออกสตาร์ตเป็นตัวจริงตั้งแต่วินาทีแรก ก่อนจะเปลี่ยนตัวในครึ่งหลัง ซึ่งก็มีครั้งที่ได้ผลและไม่ได้ผลสลับกันไป แต่สิ่งที่เห็นอย่างชัดเจนคือบรรดาตัวสำรองมีเวลาในสนามค่อนข้างน้อยไปหน่อย มันจึงทำให้ขาดความต่อเนื่องเรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมทีม
พอไม่ได้เล่นในเกมการแข่งขันจริงด้วยกันบ่อยๆ มันย่อมมีผลในระยะยาว ซึ่งสิ่งที่สะท้อนออกมาก็คือผลงานในสนามนั่นเอง
[ 4 ] โควตาต่างชาติไม่สำแดงเดช
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า 'โควตาต่างชาติ' คือตัวชี้วัดผลการแข่งขันได้โดยแท้จริง เพราะนักเตะไทย ของแต่ละสโมสรไม่เหลื่อมล้ำกันมากนัก ดังนั้นจุดตัดสินว่าใครจะชนะหรือแพ้ก็ต้องพึ่งแข้งนำเข้านี่แหละ
บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คือตัวอย่างชัดเจนกับความสำเร็จที่คว้าแชมป์ ไทยลีก มาแล้ว 8 สมัย ทั้งยังใกล้เข้าสู่ครั้งที่ 9 เข้าไปทุกขณะ
ปราสาทสายฟ้าไม่เคยขาดแคลนแข้งต่างชาติฝีเท้าดีเลยสักปี ไล่ตั้งแต่ ฟร้องค์ อาเชียมปง, ฟร้องค์ โออ็องด์ซ่า, การ์เมโล่ กอนซาเลซ, ออสการ์ อีบันเญซ, โก ซึล-กี, ดีโอโก้ ลุยซ์ ซานโต้, แชคซอน โคเอลโญ่ 'ชาช่า', อันเดรส ตูเญซ และอีกมากมาย
กระทั่งถึงยุคปัจจุบันที่มี โกรัน เคาซิช, เป็นตัวขับเคลื่อน ทั้งยังเพิ่งนำเข้า กีเยเม่ร์ บิสโซลี่ ศูนย์หน้าบราซิล ที่พร้อมทำลายล้างทุกวินาที
เมืองทอง ยูไนเต็ด อดีตแชมป์ลีก 4 สมัย ก็ไม่ต่างกัน พวกเขาคว้า มาริโอ ยูรอฟสกี้ มายกระดับวงการลูกหนังสยามประเทศ พร้อมด้วย รี ควาง-ชอน และ พัก นัม-โชล สองแข้งเกาหลีเหนือ ที่ผ่าน เวิลด์ คัพ 2021 มาแล้ว
เรียกได้ว่านักเตะต่างชาติคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทีมประสบความสำเร็จโดยแท้จริง
แบงค็อก เองก็มีผู้เล่นนำเข้าเก่งๆ หลายราย ย้อนกลับไปก็มีทั้ง ดราแกน บอสโกวิช ที่คว้า 'ดาวซัลโว' ไทยลีก 2017, เฮแบร์ตี้, ฮาจิเมะ โฮโซกาอิ และอีกเพียบ
ทว่าฤดูกาล 2023-24 ดูเหมือนว่าโควตาต่างชาติของพวกเขาจะมีเพียง เอแวร์ตอน, มะห์มู๊ด ไอด์ และ วิลเลน โมต้า เพียง 3 รายเท่านั้นที่ฝากความหวังเอาไว้ได้ เพราะที่เหลือต่างก็แทบไม่ได้ลงสนามเลย
บราเซล จราดี้ ผู้มาพร้อมดีกรีทีมชาติเลบานอน มีส่วนกับทีมไป 17 เกม ยิงได้ 4 ประตู, อามาดู ซูคูน่า ลงสนาม 4 นัด (0 ประตู) ขณะที่ วานแดร์ ลุยส์ นั้นเพิ่งจะหายจากอาการบาดเจ็บกลับมาในเลกที่สอง แต่ก็ยังไม่มีผลงานเด่นชัดเหมือนที่ผ่านมา
จากสิ่งที่เกิดขึ้น เท่ากับว่าโควตาต่างชาติของ แบงค็อก ในซีซั่นปัจจุบันนั้นไม่สามารถยกระดับ อีกทั้งยังฝากความหวังได้ไม่มากเท่าที่ต้องการนั่นเอง
[ 5 ] ปี 2024 ฟอร์มดร็อปลงชัดเจน
เลกแรกของฤดูกาล 2023-24 แบงค็อก มีช่วงที่นำเป็นจ่าฝูงรวมกันอยู่ถึง 11 สัปดาห์ ซึ่งแน่นอนว่ามันลากยาวมาถึงเลกที่สองด้วยเช่นกัน
หลายๆ เกมที่พวกเขากำลังจะแพ้ ก็กลับมาเสมอได้
หลายๆ เกมที่พวกเขากำลังเสมอ ก็กลับมาชนะได้
เล่นไม่ดีก็มีแต้ม เล่นดีก็ชนะสบาย ในขณะที่คู่แข่งแย่งลุ้นแชมป์อย่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็สะดุดเป็นว่าเล่น เช่นเดียวกับ การท่าเรือ เอฟซี และ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ที่ต่างก็ผลัดกันพลาดแล้วพลาดอีก
องค์ประกอบต่างๆ มันช่างเป็นใจให้ แบงค็อก เหลือเกิน ซึ่งในลักษณะนี้เรียกสั้นๆ ว่า 'ฟอร์มแชมป์' ชัดๆ
ทว่าจุดเปลี่ยนสำคัญคือเกมตกค้างที่พวกเขาปราชัยต่อ บุรีรัมย์ คาบ้านตนเอง 0-1 นัดนั้นหากเสมอหรือชนะ บียูจะกุมความได้เปรียบมหาศาล แต่พอแพ้ มันส่งผลให้ปราสาทสายฟ้าทำแต้มขยับเข้ามาใกล้ยิ่งกว่าเดิม
แต่ ณ ขณะนั้นก็ยังไม่มีใครคาดคิดว่า แบงค็อก จะสะดุดเช่นกัน เพราะหลังจากพลาดท่าให้อดีตแชมป์ ไทยลีก 8 สมัย พวกเขาก็บุกไปพลิกแซง เมืองทอง ยูไนเต็ด 2-1 แบบที่ได้ประตูชัยในวินาทีสุดท้ายของการแข่งขัน
คือฟอร์มเดิมๆ กลับมาแล้วนั่นเอง
อย่างไรก็ตามช่วงที่ต้องเล่นเป็นทีมเยือนติดๆ กัน เริ่มจากการเสมอ สุโขทัย เอฟซี 0-0 ต่อด้วยเจ๊า บีจี ปทุม ยูไนเต็ด 2-2 ทำให้โมเมนตั้มเปลี่ยนไป จนกระทั่งบุกพ่าย บุรีรัมย์ อีกครั้ง 2-3 เท่านั้นแหละ ดูเหมือนว่าผลงานของบียูจะค่อยๆ ดร็อปลงอย่างชัดเจน
แม้จะเก็บชัยชนะได้ในอีก 3 นัดต่อมา แต่การหลุดเสมอ การท่าเรือ เอฟซี 2-2, เสมอ ลำพูน วอร์ริเออร์ส 2-2, เสมอ ประจวบ เอฟซี 0-0 และเสมอ ขอนแก่น ยูไนเต็ด 2-2 ก็ทำให้พวกเขาหล่นมาอยู่อันดับ 2 ของตารางแบบยาวๆ
เท่ากับว่าเปิดฉากปี 2024 เป็นต้นมา 13 เกม บียูชนะเพียง 5 นัด, เสมอ 6 และแพ้ไป 2 นัด ซึ่งจากผลงานที่เกิดขึ้น มันย่อมส่งต่อถึงการลุ้นแชมป์ที่ค่อยๆ เรือนลางไปทุกที