เมืองทอง ยูไนเต็ด คือหนึ่งในสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของเมืองไทย กับการคว้าแชมป์ลีกได้ 4 สมัย บวกกับมูลค่าทางการตลาดที่สูงเป็นลำดับต้นๆ ของประเทศ
แม้ว่าระยะหลังพวกเขาจะเหินห่างถ้วยรางวัลมานาน เพราะหนสุดท้ายที่ได้สัมผัสโทรฟี่คือ ลีก คัพ 2017
เท่ากับว่าเป็นเวลากว่า 7 ปี ที่กิเลนผยองไม่สามารถฟาดแชมป์ใดๆ ได้เลย
ส่วนหนึ่งมาจากนโยบายของสโมสรที่หันมาสร้างรากฐานด้วยการผลักดันผู้เล่นที่เติบใหญ่จากอะคาเดมี่ บวกกับการปล่อยนักเตะไทย ให้ไปค้าแข้งในต่างประเทศอยู่เสมอ มันจึงทำให้รอยต่อความสำเร็จหยุดชะงัดชั่วขณะ
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่มีโครงสร้างเยาวชนแข็งแรง มันจึงทำให้พวกเขายังยืนระยะอยู่ในท็อปทีมของ ไทยลีก ได้ไม่ยาก
ทว่าเลกแรกของฤดูกาล 2023-24 ถือเป็นห้วงเวลาที่ไม่โสภาของ เมืองทอง เอาเสียเลย กับการรั้งอันดับ 10 เมื่อผ่านพ้น 15 เกม โดยมีอยู่ช่วงหนึ่งที่อยู่ในโซนสีแดงนานถึง 4 สัปดาห์
ปัญหาของกิเลนผยองคือ 'เกมรับ' ที่ค่อนข้างเปราะบาง เนื่องจากแทบจะเปลี่ยนยกแผงจากซีซั่นที่ผ่านมา
ผู้รักษาประตูก็เปลี่ยนจาก ปฏิวัติ คำไหม มาเป็น โสภณวิชญ์ รักญาติ สลับกับ กรกฏ พิพัฒน์นัดดา
คู่เซนเตอร์ฮาล์ฟที่เคยใช้ ลูคัส โฮช่า และ เยสเปอร์ นีโฮล์ม ก็กลายเป็น ฌอง-โคล้ด บีลลง เป็นตัวหลัก เสริมด้วย ทรงวุฒิ ใคร่ครวญ, ชาติชาย แสงดาว หรือ ธีรภัทร เลาหบุตร
จะอุ่นใจได้หน่อยคือแบ็กขวาที่ได้ ทริสต็อง โด กลับมาร่วมทัพอีกครั้ง หลังปล่อย สุพร ปีนะกาตาโพธิ์ และ บุญทวี เทพวงศ์ ออกไป
ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือฝั่งซ้าย เพราะฤดูกาล 2022-23 มี วัฒนากรณ์ สวัสดิ์ละคร ในเลกแรก ก่อนจะได้ กฤษณ์พรหม บุญสาร มาเลกสอง โดยมี สุพร กับ บุญทวี สลับกันไปประจำการตามความจำเป็น
แต่ฤดูกาลปัจจุบัน พวกเขามีเพียง สุวิทย์ ไปพรมราช กับ ณัฐวัฒน์ โทบ้านซ้ง ในลกแรก แถมตอนต้นซีซั่นต้องขยับเอา ธีรภัทร ซึ่งเป้นเซนเตอร์ฮาล์ฟอาชีพไปยืนอยู่บ่อยๆ
ผลที่ออกมาคือไม่เวิร์กเอาซะเลย โดนเจาะตาข่ายไปถึง 26 ประตู จาก 15 นัดเท่านั้น แถมยังมีเกมที่ถูกถลุงเละอย่าง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด (แพ้ 2-5) และ อุทัยธานี เอฟซี (แพ้ 2-4) อีกต่างหาก
สภาพทีมค่อนข้างสะบักสะบอมจนนิวิจารณ์ต่างวิเคราะห์ไปในทางเดียวกันว่าซีซั่น 2023-24 เมืองทอง น่าจะจบอันดับต่ำสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร
ทว่าการกลับมาของ กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ บวกด้วยนำเข้า อี แช-ซอง ในตำแหน่งปราการหลังตัวกลางทำให้แนวรับกิเลนผยองดูจะแน่นหนามากยิ่งขึ้น
แต่ยังมีอีกหนึ่งนักเตะที่เป็น 'จิกซอว์' ชิ้นสำคัญที่นำมาซึ่งความแข็งแกร่งในแดนหลัง และเขาคนนั้นคือ สถาพร แดงสี แบ็กซ้ายมากประสบการณ์ที่ทำให้ทีมมีความลงตัวยิ่งกว่าเดิม
ในวัย 35 ปี แถมยังเว้นวรรคจากการเล่นฟุตบอลกว่า 6 เดือน เพื่อไปดูแลภรรยาที่ป่วยเป็นโรคร้าย ทว่าแนวรับชาวบุรีรัมย์ กลับรักษามาตรฐานของตนเองได้อย่างดีเยี่ยม
สถาพร อาจจะไม่มีความหวือหวา แต่สิ่งที่ทำให้เพื่อนร่วมทีมอุ่นใจได้เสมอคือความแน่นอน เพราะเมื่อใดที่เขาประจำการทางฟากซ้าย มันยากเหลือเกินที่กองหน้าฝั่งตรงข้ามจะผ่านไปได้ง่ายๆ
นับตั้งแต่หมอนี่ย้ายมาเล่นให้ เมืองทอง ในเลกที่สอง จำนวนการเสียประตูของกิเลนผยองลดลงเหลือเพียง 14 ลูก จาก 12 เกม แถมยังทำไป 4 คลีนชีต อีกด้วย
เท่านั้นไม่พอ อันดับของพวกเขาค่อยๆ ไต่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนรั้งอันดับ 5 โดยมีแต้มห่างจาก บีจี ปทุม เพียง 2 คะแนน เท่านั้น
ห้วงเวลาแห่งความสำเร็จของกิเลนผยองนั้นมักจะมีแบ็กซ้ายฝีเท้าดีอยู่เสมอ
2009 ที่ได้แชมป์ ไทยลีก ก็มี วีศรุต พันนาสี กับ ปิยะชาติ ถามะพันธ์
2010 ที่ได้แชมป์ ไทยลีก เป็นหนที่สองติดต่อกัน ปิยะชาติ ยังอยู่ และได้ วีระวุฒิ กาเหย็ม ดาวรุ่งพุ่งแรงเป็นกำลังเสริม
2012 ที่ได้แชมป์ ไทยลีก ด้วยสถิติ 'ไร้พ่าย' ปิยะชาติ ยังเป็นตัวหลัก โดยมี มงคล นามนวด คอยสลับสับเปลี่ยน
2016 ที่ได้แชมป์ ไทยลีก นี่ยิ่งอาวุธหนัก เพราะมีทั้ง พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา ก่อนจะได้ ธีราทร บุญมาทัน มาต่อเติมความยิ่งใหญ่
แม้ฤดูกาลปัจจุบัน เมืองทอง จะหมดลุ้นแชมป์ลีก แต่ยังมี ลีก คัพ ให้พวกเขาได้กลับมาทวงความสำเร็จอีกครั้ง
สภาพร นี่แหละจะเป็นตัวแปรสำคัญของกิเลนผยองกับการเดินหน้าล่าโทรฟี่ แม้เจ้าตัวจะอายุ 35 ปี แล้วก็ตาม แต่สภาพร่างกาย, ความฟิตและระเบียบวินัยที่มี ทำให้ให้เชื่อได้เลยว่าพี่แกจะยังโลดแล่นบนฟลอร์หญ้าได้อีกหลายซีซั่น
ดีไม่ดีเขาอาจจะถูก มาซาทาดะ อิชิอิ เรียกกลับมาติดทีมชาติไทย อีกครั้งก็เป็นได้
สถาพร แดงสี หนึ่งในดีลสุดคุ้มซีซั่น 2023-24