ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด และห้วงเวลาชี้ชะตาแชมป์

ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด และห้วงเวลาชี้ชะตาแชมป์
ไทยลีก 2023-24 ช่วงแรก ดูเหมือนว่า แบงค็อก ยูไนเต็ด จะลอยลำนำยาวแบบไร้คู่แข่ง ด้วยการเล่นที่เรียกว่า 'ฟอร์มแชมป์' คือชนะในเกมที่ทำได้ไม่ดี หรือบางทีปืนฝืด แต่ก็ยังมีคะแนนติดมือกลับมา

   ทีมแข้งเทพทำให้เห็นหลายต่อหลายนัด ไม่ว่าจะเป็นพลิกแซง เชียงราย ยูไนเต็ด กับ ราชบุรี เอฟซี ด้วยสกอร์ 2-1 และ 3-1 ตามลำดับ โดยที่สองแมตช์นี้ได้ประตูชัยในนาทีสุดท้ายของการแข่งขัน

   บุกเชือด ประจวบ เอฟซี ในนาทีที่ 84 1-0, ไปเยือน ตราด เอฟซี และเหมือนจะได้แค่แต้มเดียว แต่ก็มาได้ มะห์มู๊ด ไอด์ ยิงประตูชัยในช่วงทดเวลา พาทีมชนะ 2-1, เสมอ โปลิศ เทโร เอฟซี 1-1 โดยที่ วิลเลน โมต้า ซัดตีเสมอในช่วงท้ายเกม

   ล่าสุดกับการบุกไปเฉือน เมืองทอง ยูไนเต็ด 2-1 โดยได้ โมต้า เจ้าเก่าโขกประตูก่อนนำทีมคว้า 3 คะแนน สำคัญได้ในช่วงทดเวลาการแข่งขัน

   ในขณะที่ แบงค็อก ฟอร์มฝืด แต่ก็เก็บแต้มได้เรื่อยๆ - คู่แข่งของพวกเขาต่างก็ทยอยกันสะดุด ไม่ว่าจะเป็น บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, การท่าเรือ เอฟซี และ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ที่ไม่สามารถรักษามาตรฐานได้อย่างสม่ำเสมอ

   15 สัปดาห์ในเลกแรก บียูยึดจ่าฝูงได้ถึง 10 วีค แถมยังมีช่วงที่ห่างจากอันดับ 2 เกิน 6 แต้มอีกต่างหาก

   ทว่าการเสมอ โปลิศ เทโร ต่อด้วย ชลบุรี เอฟซี แถมยังปราชัยให้ บุรีรัมย์ คารังตัวเอง ทำให้ช่องว่างถูกลดระยะลงมา กระทั่งล่าสุดที่พวกเขาไปเก็บได้คะแนนเดียวที่ ทะเลหลวง สเตเดี้ยม กับการเจ๊า สุโขทัย เอฟซี 0-0 นั้นสร้างความเสียหายมหาศาล

   แบงค็อก ตกบัลลังก์จ่าฝูง เพราะถูกปราสาทสายฟ้าแซงขึ้นไปนำแทนเป็นครั้งแรกของฤดูกาล 2023-24

   บุรีรัมย์ ประสบการณ์สูงมากในสถานการณ์ที่กดดัน และที่สำคัญเวลาที่รั้งจ่าฝูง พวกเขามักจะยิงแบบยาวๆ การเป็นแชมป์ ไทยลีก มาแล้ว 8 สมัย ย่อมทำให้ทัพเซาะกราวรู้ดีว่าควรจะรับมือกับเรื่องในลักษณะนี้เช่นไร 

   ผิดกับบียูที่มักจะฟอร์มหลุดในช่วงสำคัญอยู่เสมอ ซึ่งจากโปรแกรมที่รออยู่ มันคือห้วงเวลาที่สุ่มเสี่ยงมากๆ ที่พวกเขาจะไปไม่ถึงดวงดาว หากยังไม่สามารถเรียกความมั่นใจกลับมาได้อีกครั้ง 

   เท่านั้นไม่พอ เรื่องของสภาพร่างกายนักเตะก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องระมัดระวัง เนื่องจากพวกเขาต้องลงสนามแบบถี่ยิบ 

   25 กุมภาพันธ์ พบ บีจี ปทุม (เยือน)

   3 มีนาคม พบ บุรีรัมย์ (เยือน)

   9 มีนาคม พบ เชียงราย (เยือน)

   31 มีนาคม พบ ชลบุรี (เหย้า)

   4 เมษายน พบ ราชบุรี (เยือน)

   7 เมษายน พบ การท่าเรือ (เหย้า)

   นี่คือ 7 นัดมหาโหดของ แบงค็อก ในศึก ไทยลีก ที่ห้ามพลาดเป็นอันขาด โดยเฉพาะการบุก ช้าง อารีน่า ในวันที่ 3 มีนาคม ที่ต้องมีอย่างน้อย 1 คะแนนกลับมา

   ไม่นับรวมฟุตบอลถ้วยที่พวกเขาจะต้องลีดฟ้าสู่ สงขลา (เอฟเอ คัพ) และไปเยือน ราชบุรี อีกครั้ง (ลีก คัพ) พ่วงด้วยช่วง ฟีฟ่า เดย์ ที่นักเตะบียูก็อยู่ในลิสต์ทีมชาติไทย ไม่ต่ำกว่า 5-6 ราย 

   ด้วยโปรแกรมการแข่งขันที่แน่นขนัดขนาดนี้ เชื่อได้เลยว่าสภาพร่างกายของผู้เล่นย่อมเหนื่อยล้าอย่างแน่นอน ตรงจุดนี้นี่แหละจะเป็นตัวตัดสินว่า แบงค็อก จะก้าวข้ามได้หรือไม่ ถ้าทำได้ โอกาสไปถึงตำแหน่งแชมป์ก็มีไม่น้อย 

   แต่ถ้าทำไม่สำเร็จ ก็จะยังคงวนลูปอยู่เช่นเคย

   ยังดีที่ไม่ได้ไปต่อใน เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก หลังจากแพ้ โยโกฮามะ มะรินอส แบบน่าเสียดายในช่วงต่อเวลาพิเศษ แต่เกมนี้ก็ใช้พละกำลังไปเยอะทีเดียวกับ 120 นาที แถมต้องเดินทางอีกต่างหาก

   นับตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา (7 ซีซั่น) พวกเขาจบด้วยรองแชมป์ ไทยลีก มาแล้วถึง 3 ครั้ง โดยเป็นอันดับ 3 อีก 2 หน ซึ่งจุดนี้บ่งชี้มาตรฐานของ แบงค็อก ได้อย่างดี ว่าเป็นสโมสรชั้นนำของประเทศ 

   ทว่าในโลกของฟุตบอลไม่มีใครจดจำ 'อันดับ 2' มีเพียง 'แชมป์' เท่านั้นที่จะได้รับการจารึกบนหน้าประวัติศาสตร์แบบปีต่อปี

   เล่นดี ฟอร์มเด่น แต่ไร้ซึ่งถ้วยรางวัลก็ไม่เป็นที่โสภาสถาพรหรอก

   จากนี้ต่อไปจนถึงเดือนเมษายน คือห้วงเวลาชี้ชะตาว่าพวกเขามีดีพอที่จะคว้าแชมป์แรกในนาม แบงค็อก ยูไนเต็ด แล้วหรือยัง

ชิกกะด้าว



ที่มาของภาพ : -
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport