การเผชิญหน้ากันระหว่าง เชียงราย ยูไนเต็ด กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ไม่ว่าครั้งไหน, ที่ใดหรือเมื่อไหร่ มันเป็นเกมที่ 'มากกว่าฟุตบอล' อย่างแท้จริง
ส่วนหนึ่งมาจากเรื่องของรากฐานของทั้งสองสโมสรที่มาจากการเมืองคนละขั้ว อีกทั้งที่ตั้งของทีมก็ยังอยู่ฝั่งละภาค มันจึงเป็นการต่อสู้ของทั้งในและนอกสนาม
แม้ว่า บุรีรัมย์ จะเป็นเจ้าของสถิติครองแชมป์ ไทยลีก ได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่หนึ่งในครั้งที่พวกเขาตกจากบัลลังก์นั้นก็มาจากปีที่ เชียงราย ท็อปฟอร์ม ก่อนจะก้าวขึ้นไปเป็นเบอร์หนึ่งแทนเมื่อปี 2019
ฤดูกาลนั้นลุ้นไปจนถึงนัดสุดท้ายของซีซั่น - ปราสาทสายฟ้าได้เปรียบกว่า เพราะคู่แข่งคือ เชียงใหม่ เอฟซี ที่หล่นชั้นไปแน่นอนแล้ว ส่วนฝั่งกว่างโซ้งนั้นงานหนัก เนื่องจากต้องไปเยือน สุพรรณบุรี เอฟซี ที่ต้องการแต้มเพื่ออยู่รอดปลอดภัย อีกทั้งยังต้องลุ้นให้ บุรีรัมย์ ไม่ชนะทีมพยัคฆ์ล้านนาอีกต่างหาก
สื่อทุกสำนักฟันธงตรงกันว่าโทรฟี่คงไม่หนีไปจาก ช้าง อารีน่า แน่ๆ
ทว่าสุดท้ายกลายเป็น เชียงราย ที่พลิกคว้าแชมป์มาครองเป็นหนแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร
การได้แชมป์หนนั้นถือเป็นหนึ่งในรอยแผลที่ทำให้ บุรีรัมย์ มีแรงผลักดันกลับมาทวงบัลลังก์ของตนเอง และหลังจากปี 2019 เป็นต้นมา พวกเขาก็ไม่เคยเพลี่ยงพล้ำให้กว่างโซ้งมหาภัยเลยสักครั้ง (รวมทุกรายการ) โดยแบ่งเป็นชนะ 7 และเสมอแค่หนเดียว
เรียกได้ว่าถ้าเจอะกับยอดทีมแห่งแดนล้านนาเมื่อใด ปราสาทสายฟ้าจะเน้นหนักเป็นพิเศษเพื่อย้ำแค้นไปเรื่อยๆ
นอกจากนี้ ความเข้มข้นของทั้งสองฝั่งคือเรื่องของประธานสโมสรที่ต่างฝ่ายต่างก็มีคำพูดเฉือนคมกันอยู่เสมอ โดยเฉพาะทาง เชียงราย ที่มักจะออกมาโจมตีการทำงานของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เป็นประจำ
แถมล่าสุดจากดรามาทีมชาติไทย ชุด ฟีฟ่า เดย์ ที่ตะลุยยุโรป ซึ่งมี บุรีรัมย์ เป็นหนึ่งในทีมที่ถูกมองว่าไม่ให้ความร่วมมือกับการปล่อยนักเตะออกไปให้ทัพช้างศึก
ด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ ทำให้เกมในวันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2023 ที่กลับมาหวดกันอีกครั้งจึงเต็มไปด้วยประเด็นต่างๆ มากมาย
อย่างไรก็ตาม ความที่เหนือกว่า แม้จะเป็นทีมเยือน ทว่า บุรีรัมย์ ก็เป็นฝ่ายไล่กดดัน เชียงราย ตั้งแต่วินาทีแรกของการแข่งขัน แต่ด้วยความเขี้ยวลากดินของเจ้าถิ่นที่เล่นได้อย่างมีวินัย ทำให้พวกเขายังรักษาสกอร์ไว้ได้ตามเป้าหมาย
ส่วนหนึ่งที่ปราสาทสายฟ้าไม่สามารถจบสกอร์ได้สำเร็จ น่าจะมาจากการที่พวกเขาเน้นเกินไป โอกาสเข้าทำหลายๆ หน โดยเฉพาะ โกรัน เคาซิช ที่ได้ยิงและโหม่งเหน่งๆ แต่กลับซัดออกไปอย่างไม่น่าเชื่อ เกิดจากความตั้งใจสูง จนจังหวะไม่เป็นไปตามธรรมชาติ
เชียงราย เองก็เล่นอย่างรู้ตัวเองดี พวกเขาสู้ด้วยความอดทน แล้วรอคอยโอกาส ซึ่งเป็นสไตล์ที่กว่างโซ้งมหาภัยถนัดอยู่แล้ว แม้จะบุกน้อยกว่า แต่สวนกลับทีไรก็มีลุ้นทุกที
การเสมอ 0-0 จึงถือว่าเป็นผลที่น่าพอใจของทั้งสองฝ่าย เพราะยังเพิ่งอยู่ในช่วงต้นฤดูกาล 2023-24 แถมทาง บุรีรัมย์ ก็ยังมีโปรแกรมหนักกับ เมลเบิร์น ซิตี้ ในถ้วย เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก และพวกเขาเองก็ต้อง 3 คะแนน เท่านั้น เพราะนัดแรกดันแพ้ ว็องโฟเร่ต์ โกฟุ มาด้วย
ส่วนทาง เชียงราย ก็ไม่มีอะไรเสียหาย ผลเสมอทำให้พวกเขายังอยู่ในกลุ่มหัวตาราง และการยังอยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ ก็ถือว่าทำได้ตามเป้าหมาย โดยรอลุ้นฟุตบอลถ้วยเหมือนทุกๆ ปี
ไทยลีก 2023-24 ยังคงดำเนินต่อไป และบิ๊กแมตช์ระหว่าง เชียงราย กับ บุรีรัมย์ ก็แบ่งแต้มกันไป โดยที่ไม่มีฝั่งใดรู้สึกผิดหวัง
มันคือ 1 คะแนน ที่น่าพอใจของทั้งสองทีม แล้วจากนั้นค่อยไปวัดกันใหม่อีกครั้งที่ ช้าง อารีน่า ในเลกที่สอง ซึ่งวันนั้นการแข่งขันจะต้องดุเดือดกว่านี้เป็นร้อยเท่า หากมีเรื่องของการตัดสินแชมป์มาเป็นเดิมพัน
ชิกกะด้าว