ฟรีทีวีบางคู่!ไทยลีก1 ยิงสดผ่าน OTT วอนแฟนช่วยหนุน ยันรายได้กระจายเท่ากันทุกทีม

ถ่ายทอดไทยลีก สรุปยิงสดแบบ OTT จ่ายเงินเพื่อดูผ่านแพลตฟอร์ม พร้อมเคมเปญ SAVETHAILEAGUE เว้าวอนแฟนบอลช่วยอุดหนุน เคาะราคาทั้งฤดูกาล 500 บาท , รายเดือนๆละ 59 บาท ส่วนโปรแกรมเดี่ยวปรับใหม่ เพิ่มวันศุกร์และวันจันทร์ไปด้วย ทดลองครึ่งฤดูกาลแรก เงินรายได้ทั้งหมดมากองรวมกันแล้วหาร 16 โปรแกรมแข่งเดี่ยวรื้อใหม่ เพิ่ม ศุกร์ และ จันทร์ ไปด้วย ส่วนเวลาแข่ง คู่แรก 17.30 น. คู่สุดท้ายกลับไปหวด 20.00 น. ส่วนลีก2และ3 ยังเคว้ง รอเรียกประชุมอีกครั้ง เงินสนับสนุนมีแน่ แต่ยังไม่รู้ว่าจะได้เท่าไหร่ ขณะที่โซเชียลงง ฟุตบอลไทยลีกมาถึงจุดนี้ได้ยังไง ถึงขั้นต้อง SAVE กันแล้วหรอ อนาถใจ ใครช่างคิด สิ้นหวังดีแท้ 

การประชุมของ 16 สโมสรไทยลีก2023-24 เพื่อหาทางออกในการถ่ายทอดสดรวมถึงรายได้สิทธิประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นในฤดูกาลใหม่ ยังคงมีการหารืออย่างต่อเนื่องที่โรงแรมพูลแมน เมื่อวันอังคารที่ 18 ก.ค.66 โดยมี กรวีร์ ปริศนานันทกุล รักษาการประธานบริษัท ไทยลีก จำกัด เป็นประธานในที่ประชุม ซึ่งได้มีการแต่งตั้ง ธัญญะ วงษ์นาค ผจก.ทีมโปลิศ เทโร รับหน้าที่เป็นโฆษกคณะทำงานในการหาทางออกเรื่องการถ่ายทอดสดไทยลีกครั้งนี้ 

ธัญญะ วงษ์นาค ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า "การประชุมครั้งนี้คือเรื่องลิขสิทธิ์และสิทธิประโยชน์ของแต่ละสโมสร ซึ่งการถ่ายทอดสดที่หารือกันคือจะถ่ายทอดสดแบบครึ่งฤดูกาลแรก ตอนนี้ทุกสโมสรเรามองไปด้วยกันว่าการหารายได้ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด เรามองไปที่ OTT หรือการจ่ายเงินเพื่อดูผ่านแพลตฟอร์ม สิ่งที่เราทำได้ในตอนนี้คือทีมที่เป็นทีมเล็กต้องการเม็ดเงินในเรื่องของการถ่ายทอดสดเพื่อมาประทังสโมสรตลอดทั้งฤดูกาล รายได้จากลิขสิทธิ์ส่วนใหญ่ที่เรามองตอนนี้ก็คือ OTT ดังนั้นเราก็เลยคิดแคมเปญกันขึ้นมาว่า จะมีเคมเปญ SAVETHAILEAGUE คืออยากเชิญชวนบรรดาแฟนบอลทุกสโมสรหรือแม้กระทั่งคนที่รักในฟุตบอลไทยก็ช่วยกันมาสมัครบริการในระบบ OTT เพื่อทำให้เม็ดเงินรายได้กระจายเข้ามาสู่ทุกสโมสรเพื่อให้ทุกสโมสรเดินหน้าต่อไปได้ตลอดทั้งฤดูกาล และจะเป็นการเดินหน้าต่ออย่างยั่งยืนในระดับนึง"   

"ส่วนเรื่องโปรแกรมการแข่งขันก็อาจจะมีการขยับใหม่ ฤดูกาลที่ผ่านมาอาจจะมีบิ๊กแมตซ์อาจจะทับกัน เลือกดูไม่ถูก ทีนี้ก็อยากจะให้ทุกๆเกมบิ๊กแมตซ์ทุกๆคนได้ดูได้ คือเพิ่มวันแข่งจากเดิม เสาร์-อาทิตย์ เป็น ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์-จันทร์ เพื่อที่จะให้ได้ชมกันทุกๆแมตซ์"

ผู้สื่อข่าวถามว่า สรุปแล้วค่ายใหญ่ที่มีข่าวลือรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา จริงเท็จอย่างไร คุณธัญญะ บอกว่า "ทั้ง 16 สโมสรมองว่า เราจะไม่ล็อคไปเจ้าใดเจ้าหนึ่ง ก็จะถือโอกาสนี้ให้สิทธิ์ผู้ชมไทยลีกได้รับชมหลายๆแพลตฟอร์มให้ได้มากที่สุด ดูได้ทางไหน ตอนนี้ก็อาจจะเป็น เอไอเอสก็ได้ , ทรูด้วยก็ได้ หรืออาจจะมีแพลตฟอร์มอื่นๆด้วยก็ได้ ส่วนเรื่องรายได้ที่แต่ละสโมสรจะได้รับ ตอนนี้ยังไม่ได้เซ็ตไว้ โดยที่ แพลนบี คือหนึ่งในขณะทำงานที่จะได้ดำเนินการเรื่อง OTT ด้วย"

"โดยบทสรุปอย่างเป็นทางการ ในส่วนของแพคเกจรายเดือนอยู่ที่ 59 บาท ส่วนทั้งฤดูกาล 500 บาท เดี่ยวต้องรอดูอีกที เบื้องต้นจะไม่มีการขายลิขสิทธิ์เหมือนฤดูกาลก่อนๆ เป็นรูปแบบ OTT เพื่อนำเงินจากค่าสมัครสมาชิก ตลอดฤดูกาล มาแบ่งให้กับสโมสในไทยลีก ในอัตราส่วนแบ่ง 80 เปอร์เซ็นต์ให้สโมสร และ 20 เปอร์เซ็นต์ ให้เจ้าหน้าที่มาถ่ายทอดสด ส่วนเวลาแข่งขันเบื้องต้นคู่แรก 17.30 น. / 18.00 น. / 19.00 น. และ 20.00 น." 

กรวีร์ ปริศนานันทกุล รักษาการประธานบริษัท ไทยลีก จำกัด เผยว่า "มีถ่ายทอดสดทุกคู่ผ่าน OTT ส่วนฟรีทีวีจะมีบางคู่ รายได้ทุกคู่จะเอามาไว้ตรงกลาง แล้วจะหาร 16 โดยจะให้ทั้ง 16 สโมสรส่งผู้แทนสโมสรละ 1 ท่าน เพื่อที่จะมาเป็นกรรมการบริหารกิจการบริหารร่วมกัน ส่วนไทยลีก2 และ ไทยลีก3 ยังไม่ได้มีการพูดคุย โดยจะมีการนัดหารืออีกครั้ง สัปดาห์นี้จะเชิญไทยลีก3มาพูดคุยก่อน ส่วนสัปดาห์หน้าจะพูดคุยกับไทยลีก2"

"ท่านนายกสมาคมก็ยืนยันมาแล้วว่าจะไม่ทิ้งไทยลีก2และไทยลีก3 ยิ่งสัปดาห์ที่แล้วมีกระแสข่าวออกมาว่าไทยลีก3จะไม่ได้รับเงินสนับสนุน ก็ยืนยันตรงนี้ครับว่า ทั้งไทยลีก2 และ ไทยลีก3 ก็จะมีเงินสนับสนุนครับ ส่วนจะได้ทีมละเท่าไหร่อันนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป"

ขณะที่คอมเมนต์แฟนบอลโซเชียลต่างพูดถึงประเด็น SAVETHAILEAGUE ที่เกิดขึ้น โดยมีทั้งความเห็นที่จะสนับสนุน และความเห็นที่ไม่เชื่อว่าฟุตบอลไทยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ระบุว่า "เห็นชื่อแคมเปญ Savethaileague แล้วอนาถใจ ใครช่างคิด สิ้นหวังดีแท้" รวมถึงที่ว่า "จริง ลีกมันตกต่ำขนาดต้องมา Save กันเลยเหรอ"

สำหรับ OTT หรือ Over-the-top คือการให้บริการใดใดผ่าน "โครงข่ายอินเทอร์เน็ต" ในรูปแบบเปิด โดยที่ผู้ให้บริการ OTT ไม่มีการลงทุนหรือเป็นเจ้าของโครงข่ายอินเทอร์เน็ตด้วยตนเอง ซึ่งนำมารวมกับคำว่า TV หรือโทรทัศน์ จึงกลายเป็น OTT TV (Over-the-top TV)

ในที่นี้จึงหมายถึง การให้บริการเนื้อหาสื่อรายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ วีดิโอ ผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ตที่ผู้ให้บริการไม่ได้เป็นเจ้าของโครงข่ายอินเทอร์เน็ต เช่น YouTube, Line TV หรือ Netflix ที่ทุกคนเคยได้ยินหรือใช้บริการอยู่ในปัจจุบันนั่นเอง