เมื่อพูดถึงฟุตบอลลีกไทย ณ ปัจจุบัน ความเข้มข้นของการเป็นลีกอาชีพได้เบ่งบานมากขึ้นกว่ายุคก่อนมากทีเดียว แต่ละสโมสรต่างปลุกปั้นให้มีความแข็งแกร่งทั้งในสนาม และนอกสนาม เพื่อยกระดับให้ลีกฟุตบอลแดนสยามเมืองยิ้มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง
อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ฟุตบอลไทย เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย คงหนีไม่พ้นการที่มีนักเตะไทย ถูกส่งออกไปค้าแข้งต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในระดับฟุตบอลเจลีก ประเทศญี่ปุ่น ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลีกลูกหนังอันดับหนึ่งของทวีปเอเชียนั่นเอง
ไล่ตั้งแต่ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ที่ย้ายไปเล่นฮอกไกโด คอนซาโดเล่ ซัปโปโร ช่วงเลกสองปี 2017, ธีราทร บุญมาทัน ย้ายไปวิสเซล โกเบ ในปี 2018 ก่อนต่อยอดได้ไปเล่นให้กับโยโกฮาม่า เอฟ มารินอส ในปี 2019 และประสบความสำเร็จกลายเป็นคนไทยคนแรกในประวัติศาสตร์คว้า "แชมป์เจลีก" ได้สำเร็จ
รายอื่นๆ ยังมีทั้ง ธีรศิลป์ แดงดา ที่ไปเล่นให้ซานเฟรซเช่ ฮิโรชิม่า ปี 2018 และมีส่วนพาทีมจบรองแชมป์เจลีก, กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ไปเฝ้าเสาให้ฮอกไกโด คอนซาโดเล่ ซัปโปโร ปี 2020, เชาว์วัฒน์ วีระชาติ ย้ายไปเซเรโซ่ โอซาก้า ปี 2022 และสุภโชค สารชาติ ย้ายไปเล่นให้ซัปโปโร ช่วงเลกสองปี 2022 และยังคงค้าแข้งมาจนถึงปัจจุบัน
การที่นักเตะไทย ได้ไปโลดแล่นบนลีกแดนอาทิตย์อุทัย แน่นอนว่าสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เป็นกอบเป็นกํา อาทิ ของที่ระลึก, นักท่องเที่ยวไทย, แฟนบอลที่อยากไปชมที่สนาม ฯลฯ และอื่นๆ อีกมากมาย
ขอหยิบยกอ้างอิงจาก YouTrip ผู้ให้บริการดิจิทัลวอลเล็ตรองรับหลายสกุล (Multi-currency wallet) ที่ได้ออกมาระบุในระบบพบว่า พ.ศ.2566 หรือปี 2023 จะมีนักท่องเที่ยวชาวไทย เดินทางไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นถึง 1.3 ล้านคนเลยทีเดียว
นอกจากเรื่องของเศรษฐกิจแล้ว การที่เราได้เห็นผู้เล่นสายเลือดสยามไปเล่นในลีกลูกหนังอาชีพที่ญี่ปุ่นอยู่แทบทุกปี นั่นหมายถึงการยอมรับว่าฝีเท้าของนักเตะไทย สามารถเล่นในเจลีกได้ อีกทั้งยังเป็นการสร้างฐานแฟนบอลชาวญี่ปุ่นให้ติดตามได้อีกด้วย
ด้วยโครงสร้างการจัดการของ "เจลีก" เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง คราวนี้หลายสโมสรได้เล็งเห็นอีกหนึ่งอย่างนั่นคือ การรุดไปสร้างฐานแฟนบอลในย่านภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งการร่วมมือทางธุรกิจนอกสนามกับสโมสรโดยเฉพาะ "ไทยลีก" ลีกอันดับหนึ่งแห่งย่านอาเซียน
แฟนบอลชาวไทย เริ่มสนใจฟุตบอลเจลีกมาขึ้นตั้งแต่ Siamsport สามารถซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดผ่านทางช่องทาง Youtube ให้แฟนบอลได้ชมตั้งแต่ฤดูกาล 2020 จนมาถึงปัจจุบันเข้าสู่ซีซั่นที่ 4 แล้ว แถมมีคนเข้าชมอย่างมากมาย และยิ่งหากนักเตะไทยลงสนามด้วยนั้น คนดูยิ่งทวีคูณ
จากหลาย ๆ ปัจจัยจึงส่งผลให้บรรดาสโมสรของญี่ปุ่น ต่างลงมือทำธุรกิจกับสโมสรไทย ด้วยการเซ็นสัญญาลงนามเป็นพันธมิตรกันมากขึ้น เพื่อยกระดับสโมสรร่วมกัน ทั้งการแลกเปลี่ยนผู้เล่น รวมถึงแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เกี่ยวกับการจัดการในด้านต่าง ๆ ทั้งในและนอกสนาม
สโมสรญี่ปุ่นที่ตบเท้าเซ็น MOU กับทีมจากไทย มีอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็น บีจี ปทุม ยูไนเต็ด กับ เซเรโซ่ โอซาก้า, โปลิศ เทโร เอฟซี กับ ชิมิสึ เอส-พัลส์, หนองบัว พิชญ เอฟซี กับ โชนัน เบลล์มาเร่, ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด กับ เอฟซี โตเกียว, บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กับ คอนซาโดเล่ ซัปโปโร, ชลบุรี เอฟซี กับ กัมบะ โอซาก้า, เมืองทอง ยูไนเต็ด กับ อุราวะ เรดส์ และล่าสุดการท่าเรือ เอฟซี กับ อวิสป้า ฟูกุโอกะ
เรียกได้ว่าเรื่องของ "ฟุตบอล" กับ "ธุรกิจ" ที่มาผสมผสานกันอย่างลงตัว ถือเป็นสิ่งที่มีค่ามาก และเชื่อว่าการร่วมเป็นพันธมิตรกันของ 2 สโมสรจากแดนสยามเมืองยิ้ม และแดนปลาดิบ จะเริ่มผลิดอกออกผลในอนาคตอันใกล้นี้แน่นอน
โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนนักเตะ "ไทยสู่เจลีก" หรือ "ญี่ปุ่นสู่ไทยลีก" ไม่ว่าจะเป็นการไปร่วมฝึกซ้อม หรือการได้โอกาสเซ็นสัญญายืมตัว-ซื้อขาด ทุกสิ่งอย่างมันจะงอกเงยและสร้างความมั่นคงให้กับคำว่า "ฟุตบอล" อย่างแท้จริง
แฟนบอลชาวไทยอย่าลืมติดตามข่าวสาร บทความ สกู๊ปต่าง ๆ ของวงการฟุตบอลเจลีกได้ที่ เว็บไซต์+เฟซบุ๊ก Siamsport และอย่าลืมร่วมเชียร์นักเตะไทยกันได้แบบสด ๆ ผ่านทางช่อง Siamsport Youtube Channel ตลอดทั้งฤดูกาล 2023 ด้วยนะครับ !
"กอล์ฟ เบนเทเก้"