บทสรุป 5 ข้อ ทีมชาติไทยถลุงฟิลิปปินส์!!

บทสรุป 5 ข้อ ทีมชาติไทยถลุงฟิลิปปินส์!!
ทัพช้างศึกเอาชัยฟิลิปปินส์ ไปด้วยสกอร์ 4-0 แต่เหนืออื่นใดคือการเล่นที่สามารถเอาชนะใจแฟนๆ ซึ่งเชื่อได้เลยว่าเกมต่อๆ ไปกระแสฟุตบอลไทย จะกลับมาฟีเวอร์อีกครั้ง และนี่คือสิ่งที่ 'SIAMSPORT' อยากแชร์ให้คุณได้อ่านกัน!!

[ 1 ] หรือจะสับขาหลอกด้วย 4-4-2

   อเล็กซานเดร โพลกิ้ง ยังคงใช้ 11 ตัวจริงชุดเดิมจากเกมนัดแรกที่ชนะบรูไน 5-0 ซึ่งมาในระบบ 4-4-2 ถือเป็นเกมที่ 4 ติดต่อกัน (รวม 2 นัดที่อุ่นเครื่องกับเมียนมาร์ และไต้หวัน) ที่เขาให้ลูกทีมลงสนามด้วยผังการเล่นนี้

   แน่นอนว่าการที่ยึดนักเตะเหมือนเดิมนั้นเป็นการเพิ่ม 'ความเชื่อมั่น' ให้กับคนในทีมเพื่อที่จะสานต่อความยอดเยี่ยมจากเกมที่ผ่านมา

   ผลที่ออกมาคือการได้เห็นขุนพลช้างศึกเล่นด้วยความมั่นใจมากขึ้น เพราะเริ่มคุ้นชินกับระบบนี้ที่ใช้คู่ศูนย์หน้าเป็น ธีรศิลป์ แดงดา กับ อดิศักดิ์ ไกรษร โดยที่มี ธีราทร บุญมาทัน และ สารัช อยู่เย็น เดินเกมในแผงมิดฟิลด์

   ขนาบข้างเกมรุกด้วย เอกนิษฐ์ ปัญญา กับ บดินทร์ ผาลา ซึ่งสนับสนุนโดยฟูลแบ็กสองฝั่งทั้ง ศุภนันท์ บุรีรัตน์ และ ศศลักษณ์ ไหประโคน ส่วนคู่เซนเตอร์ฮาล์ฟ  พรรษา เหมวิบูลย์ มีพาร์ตเนอร์เป็น กฤษดา กาแมน

   พอได้เล่นด้วยระบบนี้บ่อยขึ้น มันทำให้เกมของไทย ไหลลื่นกว่านัดแรกที่เจอกับบรูไน อย่างชัดเจน ทำให้นำมาซึ่ง 4 ประตู ที่เล่นในระบบ 4-4-2

   กระทั่งถึงนาทีที่ 64 กุนซือเชื้อสายเยอรมัน-บราซิล ก็เปลี่ยนตัวรวดเดียว 3 คน พร้อมกับปรับมาเป็นระบบ 4-3-3 ซึ่งเป็นแท็กติกที่เขาชื่นชอบมากที่สุด ก่อนจะจบเกมไปด้วยสกอร์ 4-0

   จากสิ่งที่เกิดขึ้น อาจจะเป็นไปได้ว่า โพลกิ้ง ที่อาจจะรูปแบบ 4-4-2 เพื่อทดลองแท็กติกก็จริง แต่มันอาจจะแอบแฝงถึงแผนการอันแยบยล เนื่องจากคู่ต่อสู้อย่างเวียดนาม, มาเลเซีย รวมถึงอินโดนีเซีย ต่างต้องซุ่มดูทีมชาติไทย แน่ๆ 

   เขาจึงสร้างระบบการเล่นที่หลากหลายเพื่อเป็นการประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่าทัพช้างศึกมีแผนสำรองไว้จัดการฝั่งตรงข้าม ไม่ว่าจะเจอกับใครก็ตาม

[ 2 ] เล่นได้ดุดันกว่าเก่า

   เหมือนว่าเกมถล่มฟิลิปปินส์ 4-0 ทีมชาติไทย จะดูคึกคักเป็นพิเศษ เพราะก่อนหน้าทัวร์นาเมนต์จะเริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นการอุ่นเครื่องกับเมียนมาร์ หรือไต้หวัน รวมทั้งนัดแรกที่ชนะบรูไน - ทัพช้างศึกยังไม่ดุดันเท่าเกมวันนี้เลย

   การได้ประตูออกนำตั้งแต่นาทีที่ 3 ช่วยปลดล็อกความกดดันให้มากมาย และนั่นเองนำมาซึ่งความมั่นใจที่เพิ่มพูน จนทำให้แข้งสยามต่างก็อยู่ในฟอร์มอันเจิดจรัสพร้อมๆ กันแบบยกทีม

   แดนหลังไม่มีข้อผิดพลาด แถมยังนิ่งมากในสถานการณ์คับขัน ฟูลแบ็กสองข้างก็เติมเกมกันสนั่นหวั่นไหว ขณะที่ผู้รักษาประตูอย่าง กิตติพงษ์ ภูแถวเชือก ที่อาจจะงานไม่ชุกเท่าไหร่ แต่เขาก็มี 2 จังหวะเซฟที่ทำให้ยังรักษา 'คลีนชีต' ได้เป็นนัดที่ 2 ติดต่อกัน

   ส่วนแผงมิดฟิลด์ก็ยังมาตรฐานสูงเช่นเคย ไม่ว่าจะเป็น ธีราทร บุญมาทัน หรือ สารัช อยู่เย็น ที่เข้าคู่ได้อย่างเนียนตา อีกทั้งปีกทั้งสองฝั่งอย่าง เอกนิษฐ์ ปัญญา และ บดินทร์ ผาลา ก็สร้างความปั่นป่วนได้ทุกครั้งที่สัมผัสบอล

   แต่ที่ชัดเจนที่สุดคือคู่กองหน้า ธีรศิลป์ แดงดา - อดิศักดิ์ ไกรษร ที่เพรสซิ่งฟิลิปปินส์ ตั้งแต่แดนของทัพตากาล็อก จนทำให้คู่แข่งไม่สามารถต่อบอลหรือโยนยาวได้ตามถนัด

   นอกจากนี้นักเตะทุกคน ทั้งตัวจริงและตัวสำรองยังแสดงให้เห็นถึง 'ความกระหาย' ที่จะเป็นผู้ชนะมากกว่าที่ผ่านมา เพราะทุกจังหวะระหว่างการแข่งขัน พวกเขาจะวิ่งไล่บี้แบบไม่ปล่อยให้ฝั่งตรงข้ามเล่นเกมของตัวเองได้เลย 

   มันเป็นภาพที่น่าดูชมและภาคภูมิใจกับการที่นักเตะไทย ทุกคนมีธงไตรรงค์อยู่บนหน้าอกข้างซ้ายจริงๆ

   หากยังเล่นด้วยจิตวิญญาณแห่งนักสู้เช่นนี้อยู่ รับประกันเลยว่าเกมต่อๆ ไปจะได้เห็นแฟนฟุตบอลเต็มความจุของสนามอย่างแน่นอน

[ 3 ] ธีรศิลป์ + ธีราทร ยังเหนือชั้น

   ธีรศิลป์ แดงดา และ ธีราทร บุญมาทัน ยังคงรักษามาตรฐานของตนเองไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม และถ้าตัดเป็นคะแนน คู่นี้ก็น่าจะได้ไปคนละ 9 เต็ม 10 เป็นอย่างน้อย

   ศูนย์หน้าวัย 34 ปี ที่อาจจะอยู่ในสนาม 64 นาที แต่บอลจากเท้าของเขานั้นสร้าง 'ความแตกต่าง' ระหว่างสองทีมอย่างแท้จริง

   2 ประตู กับ 1 แอสซิสต์ คือคำตอบว่าเหตุใด ธีรศิลป์ ก็ยังคงเป็นนักเตะที่ทุกคนสามารถคาดหวังได้เสมอ 

   โดยเฉพาะจังหวะจ่ายให้ อดิศักดิ์ ไกรษร ยิงประตูที่ 4 ของเกม ที่เขาโชว์สกิลดึงบอลลงอย่างนิ่มนวล แล้วปาดไปให้หัวหอกป้ายแดงของ เตเร็งกานู วิ่งมายิงจ่อๆ นั้นแสดงให้เห็นถึง 'คลาส' ฟุตบอลอันเหนือชั้น

   ขณะที่ ธีราทร กับบทบาทกองกลางเต็มตัวก็ยังทำหน้าที่ได้โดดเด่นเป็นสง่า เวลาตั้งรับก็อ่านจังหวะได้เฉียบขาด ส่วนเกมรุกถือเป็นคนที่สร้างสรรค์โอกาสได้มากที่สุดในทีม

   จริงๆ แล้วเขาน่าจะมีมากกว่า 1 แอสซิสต์ ด้วยซ้ำในเกมถล่มฟิลิปปินส์ น่าเสียดายที่ลูกยิงของ กฤษดา กาแมน ถูกจับเป็นล้ำหน้า รวมไปถึงการโหม่งเหน่งๆ ของ เอกนิษฐ์ ปัญญา ข้ามคานไปอย่างน่าเสียดาย

   แต่โดยรวม อดีตแชมป์ เจลีก 2019 ยังคงเป็นนักเตะที่อันตรายทุกครั้งที่ได้บอล อีกทั้งอิทธิพลในสนามของเขาก็สามารถยกระดับให้เพื่อนๆ ได้อีกด้วย

   นอกจากนี้ยังมีสถิติหนึ่งที่น่าสนใจกับการที่ ธีราทร ทำไปแล้ว 8 แอสซิสต์ จาก 15 เกม ในยุคที่มี อเล็กซานเดร โพลกิ้ง เป็นกุนซือ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงเลยทีเดียว

[ 4 ] นฤบดินทร์ เจอคู่แข่งที่น่ากลัว

   จริงๆ แล้ว นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม คือแบ็กขวาเบอร์หนึ่งของทีมชาติไทย ในยุคของ อเล็กซานเดร โพลกิ้ง ทว่าแนวรับจาก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ติดภารกิจไปฝึกซ้อมกับ เลสเตอร์ ที่ประเทศอังกฤษ ทำให้ตำแหน่งนี้ต้องแข่งขันกันใหม่

   ทริสต็อง โด, ฟิลิป โรลเลอร์, สันติภาพ จันทร์หง่อม, สุพร ปีนะกาตาโพธิ์ และ ศุภนันท์ บุรีรัตน์ คือชื่อต้นๆ ที่เป็นแคนดิเดตในพื้นที่นี้

   ทว่าบางรายมีอาการบาดเจ็บต้องถอนตัว จนทำให้ โพลกิ้ง ตัดสินใจเรียกกองหลังจาก การท่าเรือ เอฟซี มาเพียงคนเดียว

   ถือเป็น 'ความเสี่ยง' ไม่เบา กับฟุตบอลทัวร์นาเมนต์ที่ควรจะมีผู้เล่นสำรองในทุกๆ ตำแหน่งอย่างน้อย 1 คน แต่ทัพช้างศึกมีแบ็กขวาเพียงคนเดียวเท่านั้นคือ ศุภนันท์ ที่ยังอ่อนประสบการณ์ในระดับนานาชาติ

   ช่วงแรกๆ เขายังดูเคอะเขินอยู่หน่อยๆ ซึ่งมันทำให้เล่นได้ไม่เป็นธรรมชาติของตัวเอง แต่หลังจากค่อยๆ ปรับตัวได้ดีขึ้น ผลที่ตามมาคือการโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในเกมกับฟิลิปปินส์ นั่นเอง

   ยามตั้งรับก็เหนียวแน่น ไม่ปล่อยให้คู่แข่งผ่านไปได้ง่ายๆ และพอเปลี่ยนเป็นฝ่ายรุก ฟูลแบ็กชาวจันทบุรี ก็บุกแหลกไม่บันยะบันยัง ก่อนจะสอดขึ้นไปทำประตูได้สำเร็จเป็นประตูปิดกล่อง 4-0

   จุดเด่นของ ศุภนันท์ คือเรื่องของพละกำลังที่ล้นเหลือจนสามารถวิ่งห้อไปทั่วทั้งสนาม และนั่นทำให้ผู้เล่นในแนวรุกไม่ต้องพะวงว่าเวลาที่กองหลังวัย 29 ปี เติมเกมขึ้นไปจะทำให้เกิดช่องตรงนั้นหรือไม่ เพราะยังไงเสีย เขาก็สปีดมารักษาตำแหน่งของตนเองได้ทันเวลา

   ด้วยฟอร์มการเล่นแบบนี้ ความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้ และถ้ายังรักษามาตรฐานได้ในระดับนี้ เชื่อได้เลยว่าเขาจะกลายเป็นคู่แข่งโดยตรงของ นฤบดินทร์ ในการแย่งชิงพื้นที่แบ็กขวาทีมชาติไทย อย่างแน่นอน

[ 5 ] ฟิลิปปินส์ ไม่ใช้เกมหนักเข้าสู้

   ด้วยมาตรฐานที่เหนือกว่าอย่างชัดเจน ทำให้ไทย เอาชนะฟิลิปปินส์ ไปได้แบบไม่ยากเย็นนัก ทว่ามองในอีกแง่มุมหนึ่ง นั่นอาจจะเป็นเพราะ ดิ อัซกัลส์ ไม่ได้ใช้แท็กติกประเภทบู๊ดุดันมาแลกกับทัพช้างศึกในนัดนี้

   ข้อสังเกตหนึ่งที่เห็นได้ชัดในโลกของฟุตบอล คือทีมที่เป็นรอง มักจะงัดกลยุทธ์ 'เตะหนัก' เพื่อไม่ให้ฝั่งตรงข้ามเดินเกมได้ตามสะดวก ซึ่งหลายๆ ครั้งในทัวร์นาเมนต์แบบนี้ก็มักจะได้ผลเสียด้วย

   ดังจะเห็นได้จากแท็กติกของเวียดนาม ที่ใช้ในการเผชิญหน้ากับชาติใหญ่ๆ อย่างญี่ปุ่น รวมไปถึงไทย ก็เช่นกัน ที่ถูกทีมดาวทองไล่กวดและหวดไม่มีเม้มทุกครั้งที่เจอกัน

   ทว่าเกมนี้ฟิลิปปินส์ แทบไม่มีจังหวะนอกเกมเลย ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะคุณภาพผู้เล่นที่แตกต่างชัดเจน ทำให้การต่อบอลของทัพช้างศึกไหลลื่นเกินกว่าจะหยุดยั้ง

   แต่ลองนึกกลับกันว่าถ้า ดิ อัซกัลส์ เพรสซิ่งอย่างหนักและมีการเตะติดดาบอยู่บ่อยๆ บางทีเกมที่ต่อเนื่องของไทย ต้องหยุดชะงัก รวมถึงอารมณ์ที่จะหงุดหงิดตามไปด้วย

   ดังนั้นใบเหลืองใบเดียวที่เกิดขึ้นในเกมนี้นั้นแสดงให้เห็นว่าฟิลิปปินส์ มาด้วยแท็กติกที่ไม่ชวนทะเลาะ ซึ่งส่งผลให้เราสามารถเดินเกมได้สะดวก จนกลายเป็นชัยชนะที่สวยงามถูกใจผู้ชมทั่วประเทศ

   ทว่าต้องมีแผนสำรองไว้เช่นกัน เพราะเมื่อเจอกับทีมที่งัดเกมหนักมาสู้ ไทย จะทำเช่นไรต่อ และนัดถัดไปที่จะบุกไปเยือนอินโดนีเซีย ก็มีโอกาสสูงทีเดียวที่จะต้องเผชิญหน้ากับแผนการเล่นที่สาหัสสากรรจ์ 

   แม้ว่าใน อาเซียน คัพ หนล่าสุดที่ทีมอิเหนาแพ้ให้กับช้างศึกในนัดชิงชนะเลิศ จะเล่นแบบสุภาพ แต่นั่นคือ 'บทเรียน' ที่อาจจะทำให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงเพื่อผลการแข่งขันที่ต้องการก็เป็นได้


ที่มาของภาพ : -
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport