"ดร.ชาญวิทย์ ผลชีวิน" บอก 5-6 ปีที่ผ่านมา ฟุตบอลไทยถอดบทเรียนแล้วหรือยัง ผลงานฟุตบอลเยาวชนไทยตกต่ำแล้วจริงหรือเปล่า ย้ำบอลเด็กสู้เพื่อนบ้านไม่ได้ เพราะมัวแต่ไปใส่ระบบมากกว่าการสอนความสามารถเฉพาะตัว ย้ำชัดตอนนี้บอลไทยขาด เซ็นเตอร์ ออฟ เอ็กเซลเลนท์ แถมไร้สเก๊าต์ทีมชาติที่จะกระจายไปดูนักเตะเยาวชนทั่วประเทศ ตอบสื่อประเด็นที่ "เนวิน ชิดชอบ" ประกาศไม่ส่งนักเตะมาเล่นทีมชาติยู19เพราะกลับไปสโมสรผู้เล่นขาดวินัยทันที ชี้เพราะการตัดระบบผู้จัดการทีมเลยไม่มีคนดีลปัญหา อีกทั้งยังเป็นโค้ชต่างชาติอีกยิ่งไปกันใหญ่
ดร.ชาญวิทย์ ผลชีวิน หรือ "โค้ชหรั่ง" รองประธานคณะกรรมาธิการการกีฬาวุฒิสภา เปิดเผยในงานเปิดตัวโครงการ อบรมทักษะรู้เท่าทันสื่อกีฬา โดยกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เกี่ยวกับความเห็นส่วนตัวเรื่องการพัฒนาฟุตบอลเยาวชนไทยที่ทุกวันนี้ทีมชาติไทยไปถูกจุดแล้วหรือไม่ ซึ่งอดีตกุนซือทีมชาติไทยให้ความเห็นว่า
"ผมอาจจะหายไป 5-6 แต่ก็ไม่ได้ไปไหน ติดตามและดูอยู่ตลอด และคงต้องใช้คำว่าเป็นห่วง เพราะ 5-6 ปีที่ผ่านมา ถ้าเรามองแบบโครงสร้างก่อน โครงสร้างเยาวชนเราหายไปเยอะ และผลที่เห็นชัดก็คือ ประเทศที่พัฒนาหลังเราอย่าง เวียดนาม ก็ขยับมาแล้ว คือถ้าเราไม่พูดถึงอดีต ไม่รู้ปัจจุบัน เราก็จะไม่เห็นอนาคต"
"อดีตที่ผ่านมาชุดที่ผมมาทำ รวมถึงที่โค้ชซิโก้ขึ้นมา ช่วงนั้นทีมชาติเวียดนามทุกชุดไม่เคยชนะเราเลยแม้แต่ชุดเดียว เพราะถ้าเด็กเราดี ไล่ไปจนถึงชุดใหญ่เขาก็สู้เราไม่ได้ เป็นเรื่องปกติ แต่ช่วงหลังเราก็งงๆเหมือนกันว่าทำไมเราแพ้เขาทุกชุด และบางช่วง ลาว , กัมพูชา ก็มาแรง บางคนบอกว่า เวียดนาม , ลาว , กัมพูชา เขาพัฒนา ก็ย้อนมาดูตัวเรา แล้วเราไม่พัฒนาหรืออย่างไร เราก็พัฒนานะ เรามีลีกอาชีพที่ดีมากๆ โดยเฉพาะไทยลีก1ที่หลายคนร่วมมือกันพัฒนา จากฟุตบอลถ้วย มาโปรวิลเชียลลีก มาเป็นลีกอาชีพ"
"ตอนนี้คงต้องตั้งคำถามกลับไปว่า เราถอดบทเรียนแล้วหรือยังกับ 5-6 ปีที่ผ่านมา ฟุตบอลเยาวชนเราถึงดร็อปลงไป จริงๆก็ไม่ได้แย่ เพียงแต่ว่าเราต้องมองให้ออกว่าเราต้องทำยังไง ผมว่าตอนนี้เราไปเน้นระบบตั้งแต่เด็ก ไปใส่ระบบให้กับเด็กก่อน พอไปใส่ระบบ อย่าง วันทูทัช หนึ่งสองออก ครองบอลสวยงาม แต่ว่าความสามารถเฉพาะตัวมันหาย ทำไมไม่ผสมผสาน อย่างเด็กทั่วโลก คุณไปดูได้เลยว่า เขาฝึกเรื่องอะไรก่อน คือเราฝึกความสามารถเฉพาะตัวก่อนเลย พอความสามารถเฉพาะตัวได้ ระบบอะไรเขาก็เล่นได้"
"ผมเปรียบเทียบให้เห็นภาพเลยว่า เวลาทีมเขาซื้อนักฟุตบอล เขาซื้ออะไร เขาซื้อนักฟุตบอลระบบหรอ เขาก็ซื้อที่ความสามารถนักเตะทั้งนั้น ในบางสโมสรเขาเล่นระบบนี้ เขาไปซื้อนักเตะที่มีความสามารถเฉพาะแล้วเล่นเข้าระบบ นั่นแหละคือคำตอบแบบสองเด้ง กลับมาเรา คือเราจะทำอย่างไรให้สอนที่ความสามารถเฉพาะตัว เอากลับมาพัฒนาใหม่ ต้องเลี้ยง-ส่ง-โหม่ง-ยิง ให้ได้ เดี่ยวนี้หนึ่งต่อหนึ่งเราไปไม่ได้แล้ว แต่ฟุตบอลชาติที่พัฒนาแล้ว เดี่ยวนี้หนึ่งเขาสามารถหลบสองหลบสามได้แล้ว"
อดีตกุนซือทีมชาติไทยชุดใหญ่ปี 2005-2008 ยังเปิดเผยต่ออีกว่า "ถ้าเราจะพัฒนาฟุตบอลเด็กจริงๆอันดับแรกเลยคือเรื่องการเอาความสามารถเฉพาะตัวกลับมาให้ได้ ต่อมาคือใส่ระบบเข้าไปบ้าง และการจัดการแข่งขันในระดับเยาวชนที่ตอนนี้มีที่กรมพลศึกษา มีที่การกีฬาแห่งประเทศไทยเป็นเยาวชนแห่งชาติแข่งปีละครั้ง แต่กรมพลศึกษาจัดทุกปี แต่งบประมาณน้อยมาก และจัดแบบทัวร์นาเมนท์แบ่งเป็นกลุ่มอายุ แต่ถ้าเราจัดได้ทั่วประเทศ เราก็จะได้ประชากรฟุตบอลเพิ่มอีกมหาศาล รวมถึงทีมสเก๊าต์ ทำยังไงให้มีสต๊าฟฟ์ดีๆไปคัดเด็ก สโมสรเขามีโครงการไปดูเด็กทั่วประเทศหมดแล้ว แต่ทีมสเก๊าต์ของทีมชาติก็ต้องมี เหมือนช่วงที่ผมทำฟุตบอลนักเรียนทำไมผมได้เปรียบ เพราะว่าลูกศิษย์ผมอยู่หมดเลย 76 จังหวัด เด็กคนไหนดีๆช่วยส่งมาคัดหน่อย"
"สมัยก่อนมีแต่คนมาว่าผม ว่าผมเอาแต่เด็กเส้นมาทั้งนั้นเลย เพราะเห็นจดหมายเขาฝากมา ผมก็เอาให้ดูเลยว่าเขาฝากมาจริงๆมาจากที่นั่นที่นี่ แล้วก็เอามาคัด เราจะได้อย่างน้อย 76 คนแล้วในแต่ละรุ่น อยู่ที่ว่าใครจะผ่านการทดสอบในการคัดตัว และสุดท้ายก็มี เซ็นเตอร์ ออฟ เอ็กเซลเลนท์ ที่เราชอบเรียกว่าโครงการช้างเผือก เราจะเอาไปไว้ตรงไหน ผมว่าหลักใหญ่ของ ส.บอลฯ คือจะต้องมีแนวคิดในลักษณะนี้ เซ็นเตอร์ ออฟ เอ็กเซลเลนท์ จะต้องกระจายในแต่ละภูมิภาค มีไว้เผื่ออะไร เผื่อเอาไว้คัดตัวทีมชาติ นี่คือภาพที่เราจะพัฒนาทั้งระบบจริงๆ ถึงตอนนี้เราจะต้องมานั่งสัมมนากันจริงๆจังๆแล้วก็ถอดบทเรียนเลยว่า ช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ฟุตบอลเยาวชนไทยมันตกต่ำจริงหรือไม่ ที่ต้องใช้คำนี้เพราะว่าจริงๆความสามารถเฉพาะตัวเราอาจจะไม่ได้เป็นรอง มันแค่จังหวะและโอกาส แต่พอแพ้บ่อยๆ แพ้เขาทุกชุด ทุกคนก็มองว่าเยาวชนเรามันแย่ลง ส่วนตัวผม ผมมองว่าเราไม่ได้แย่ลง เพราะเราจะต้องมานั่งถอดบทเรียนแล้วมาแก้ไขใหม่"
กุนซือยอดเยี่ยมของสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชียเมื่อปี 1994 ยังพูดถึงเรื่องที่ว่า หลายคนอาจให้มองว่าเราจะต้องก้าวข้ามอาเซี่ยนไป ซึ่ง ดร.ชาญวิทย์ เผยว่า "เราต้องมีบันได 4 ขั้นก่อน คือ ยู16 เตรียม 17 ปี , ยู19 เตรียมขึ้น ยู21 , ยู21 เพื่อเตรียมขึ้น ยู23 รวมถึง ยู23 ที่จะเตรียมขึ้นชุดใหญ่ เราทิ้งไม่ได้ เรามองข้ามไม่ได้ ทั้งๆที่เราบอกว่ามองข้ามอาเซี่ยนไป ไม่ใช่มองข้าม ความหมายคือเราต้องเหยียบบันไดขึ้นไปให้ได้ก่อน ถ้าทำได้ มันจะไม่มีขาดตอน แต่ ณ วันนี้พอเรามีแข่งขันทีนึง เราเตรียมทีนึง เดี่ยวมีแข่งอีกก็ค่อยเตรียมอีก มันก็เลยงงๆว่า เรามีการบริหารจัดการที่ดีเรื่องการจัดโปรแกรม แต่ทำไมการเตรียมตัวอย่างนี้ถึงทำไม่ได้ ทำไมไม่มีศูนย์ฝึก ทำไมถึงไม่มีเซ็นเตอร์ ออฟ เอ็กเซลเลนท์"
"ทุกวันนี้เป็นอาชีพ สโมสรไม่ค่อยปล่อย แต่ถ้าเรามีตัวของเราอยู่แล้ว เรามีตัวเลือกเยอะ อายุ 19 ปี ผมกล้าท้าเลยว่า 76 จังหวัด มีเกินกว่า 70 กว่าคนแน่นอน ถ้าสโมสรไม่ให้ เราก็ไม่ต้องไปเอา แต่ว่าสมัยผมทำ ไม่เคยมีปัญหา ต้องบอกว่าทำไมสโมสรถึงไม่ให้ก่อน แล้วได้คุยกับเขาไหม"
ผู้สื่อข่าวถาม คิดเห็นอย่างไรกับกรณีที่ คุณเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ประกาศไม่ส่งนักเตะมาเล่นทีมชาติไทยชุดยู19ปี เนื่องจากมาเล่นทีมชาติแล้วพอกลับไปสโมสรกลายเป็นว่านักเตะไม่มีวินัย ซึ่ง ดร.ชาญวิทย์ ผลชีวิน ตอบเรื่องนี้ว่า
"ผมว่าเรื่องนี้มันคุยกันง่าย ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต เพียงแต่ว่าพอเป็นโค้ชต่างประเทศ มันคงแชร์กันลำบาก แล้วเขามีความรู้สึกว่าเขาเป็นโค้ชทีมชาติ แต่พอเราไปตัดผู้จัดการทีมออก ปกติผู้จัดการทีมเขาเป็นคนดีลได้"
"ผมเชื่อที่คุณเนวินทำฟุตบอลมาทั้งชีวิต ไม่มีหรอกที่ท่านจะไม่อยากส่งเด็กมาเล่นทีมชาติไทย เพียงแต่เรื่องวินัยขอคำปรึกษาท่านหน่อยว่ามันเป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่า จะแก้ไขปรับปรุงกันอย่างไร น่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โต"