การชนะมาเลเซีย 1-0 อาจจะได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ เพราะแทบจะการันตีการผ่านสู่รอบรองชนะเลิศ อาเซียน คัพ 2024 แทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ ทว่าสิ่งที่ยังดูน่ากังวลคือรูปแบบการเล่นและคุณภาพของนักเตะเมื่อต้องเจอกับอีกสองทีมเต็งอย่างเวียดนาม หรืออินโดนีเซีย
ทุกคนรู้ดีว่าทัพเสือเหลืองแห่งมาลายาไม่ใช่ชุดที่ดีที่สุด เนื่องจากไร้แข้งตัวหลักจาก ยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม และ เซลังงอร์ ซึ่งเป็นสองสโมสรชั้นนำของพวกเขา ดังนั้นความแกร่งจึงลดลงไปเกินครึ่งแน่ๆ
อาจจะจริงที่ฝั่งไทย ก็ไม่ได้มีบรรดาซูเปอร์สตาร์เช่นกัน แต่อย่างน้อย ด้วยมาตรฐานของลีกที่ต่างกันพอสมควร บวกกับการได้เล่นในบ้านตัวเองอีก ยังไงก็น่าจะทำได้ดีกว่าเมื่อเกมวันเสาร์ที่ผ่านมา
สถิติหลังจบ 90 นาที แทบจะใกล้เคียงกันทุกอย่าง
เปอร์เซ็นต์การครองบอล - ไทย 52 - 48 มาเลเซีย
ยิงตรงกรอบ - ไทย 3 - 2 มาเลเซีย
ผ่านบอล - ไทย 362 - 345 มาเลเซีย
ใบเหลือง - ไทย 4 - 3 มาเลเซีย
มีอย่างเดียวที่ทัพช้างศึกดูดีกว่าชัดเจนคือโอกาสในการทำประตูที่ 14 ต่อ 6
นี่ขนาดว่าอาคันตุกะได้พักน้อยกว่าอีกต่างหาก เพราะฝั่งไทย ได้หยุดเกือบหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ แต่กลับไม่สามารถสำแดงเดชได้ตามที่หลายๆ ฝ่ายคาดหวัง
ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่ มาซาทาดะ อิชิอิ ยังไม่ 'ทีมที่ลงตัว' ในทัวร์นาเมนต์นี้สักที
สังเกตุได้จากการที่มีการเปลี่ยนแปลงนักเตะมากถึง 7 ตำแหน่งจากเกมในนัดแรก เท่านี้ก็บ่งบอกได้แล้วว่ายังอยู่ในช่วงทดลองตัวผู้เล่น
ผู้รักษาประตูคงไม่เกี่ยวสักเท่าไหร่ เพราะยังไง ปฏิวัติ คำไหม ก็ยังยืนมือหนึ่งในยุค อิชิอิ แบบยาวๆ ส่วนคนที่ติดทีมมา เขาน่าจะให้โอกาสเพื่อแสดงผลงานมากกว่า
แต่ในแผงหลัง นัดแรกกับนัดที่สองนี่คู่เซนเตอร์ฮาล์ฟไม่ใช่คู่เดียวกัน ส่วนฟูลแบ็ก มีแค่ นิโคลัส มิคเคลสัน ที่จองพื้นที่ยาวๆ ส่วนฟากซ้าย จุดนี้น่าสนใจ เพราะเกมกับมาเลเซีย เห็นได้ชัดเลยว่าบอดสนิท
แม้จะไม่ใช่ชุดที่ดีที่สุด แต่อย่าลืมว่า อาเซียน คัพ 2024 จะสะท้อนให้เห็นถึงอนาคตของทีมชาติไทย ในหลายๆ ด้าน เพราะการใกล้ปลดระวางของบรรดาซีเนียร์อย่าง ธีรศิลป์ แดงดา, ธีราทร บุญมาทัน, สารัช อยู่เย็น หรือแม้แต่ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ที่ค่อยๆ อายุเพิ่มขึ้น
ดังนั้นทัวร์นาเมนต์นี้แหละจะได้เห็นว่าผู้เล่นคนไหนที่มีแววจะก้าวมาทดแทนรุ่นพี่ในเวลาอันใกล้
แน่นอนว่า อิชิอิ เองก็คงเห็นเช่นกัน เขาจึงยังไม่เจอทีมที่ลงตัวจาก 2 นัดแรก แต่ก็น่าเสียดายที่ เอกนิษฐ์ ปัญญา และ เบนจามิน เดวิส ดันได้รับบาดเจ็บเสียก่อน ส่วนในราย สุภโชค สารชาติ ก็ต้องเรียกความฟิต
หากมีคนใดคนหนึ่งจาก 3 รายชื่อข้างต้น รับประกันเลยว่าเกมรุกของไทย จะมีมิติมากกว่าเดิมแบบชัดเจน
ทว่าปัญหานักเตะบาดเจ็บ ไม่ใช่ข้อแก้ตัวที่จะมากล่าวอ้างได้ เพราะในฐานะเฮดโค้ช หน้าที่ของคุณคือการจัดการทีมให้ได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ
แต่จากฟอร์มการเล่นในสองเกมแรก อิชิอิ คงต้องครุ่นคิดแบบหนักหน่วงหน่อย เพราะถ้ายังฝืดแบบเดิมอยู่ คงจะเสร็จเวียดนาม, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย หรือไม่ก็สิงคโปร์ แน่ๆ
อย่าลืมว่าทุกชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่างก็อยากจะล้มช้างศึกให้ได้ เพราะการที่ไทย ครองบัลลังก์มาแล้ว 2 สมัยติดต่อกัน มันเป็นเรื่องท้าทายสำหรับคู่แข่ง
เหตุนี้เอง งานของ อิชิอิ และลูกทีมของเขาจึงยากทวีคูณ
นัดต่อไปกับสิงคโปร์ จึงน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งว่ากุนซือชาวญี่ปุ่น จะจัดทัพเช่นไรและใช้วิธีการเล่นแบบไหนกับเจ้าถิ่น เพราะเขาเองก็รู้ดีว่าคู่แข่งมีพิษสงพอตัว จากการทำให้อกหักอดเข้าไปเล่นฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย รอบที่ 3
แม้ทีมลอดช่องจะไม่มีตัวจาก ไทยลีก ซึ่งเป็นขุนพลหลักมาตลอดก็จริง แต่จากสองเกมแรกพิสูจน์ได้ในระดับหนึ่งว่าการจะผ่านพวกเขาไปนั้น 'ไม่ใช่เรื่องง่าย'
ที่สำคัญคือจะต้องไปเล่นในสนามหญ้าเทียมอีกต่างหาก นี่แหละที่จะสร้างปัญหาให้กับแข้งช้างศึกมากๆ เพราะการต่อบอลหรือกะจังหวะมันคนละเรื่องกับหญ้าจริงโดยสิ้นเชิง
ทั้งนี้ ทั้งนั้น เหนืออื่นใดเลย อิชิอิ ต้องหา 11 ผู้เล่นตัวจริงของ อาเซียน คัพ ให้เจอภายใน 2 เกมที่เหลือของรอบแรก เนื่องจากรอบรองชนะเลิศคือของจริงที่ลับเขียงรออยู่ โดยเฉพาะเวียดนาม ที่หมายมั่นสุดๆ ที่จะโค่นไทย ให้สำเร็จ
ที่แน่ๆ เขาน่าจะมี 5 คนในใจแล้วแน่ๆ คือ ปฏิวัติ, มิคเคลสัน, วีระเทพ ป้อมพันธ์, พีรดนย์ รัศมี, พาตริก กุสตาฟส์สัน และ ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา ซึ่งเป็นความหวังใหม่ของทีม
ส่วนอีก 6 ตำแหน่งต้องดูว่าใครที่เข้าใจแท็กติกของ อิชิอิ มากที่สุด เพราะบางทีไม่จำเป็นต้องเป็นนักเตะที่ดีที่สุด แต่ขอให้ตอบโจทย์สิ่งที่อดีตเฮดโค้ช คาชิมะ แอนท์เลอร์ส ปลูกกฝังไปได้เท่านั้นพอ แค่นี้มันก็ช่วยเติมเต็มให้ทีมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นแล้ว
ยิ่งเจอทีมที่ลงตัวเร็วขึ้นเมื่อไหร่ โอกาสจะป้องกันแชมป์ได้สำเร็จก็มากเท่านั้น แต่ถ้ายังควานหาไปเรื่อยๆ ทีนี้ก็คงต้องพึ่งพาโชคชะตาให้นำพาต่อไป...เพราะบ่วง อาเซียน ก็ยังจะวนเวียนและเวียนวนต่อแบบไม่รู้จบ
ชิกกะด้าว