ผลเสมอ สปป.ลาว 1-1 ทำให้ทีมชาติไทย ไม่ชนะใครเลยใน ฟีฟ่า เดย์ พฤศจิกายน 2024 แต่เกมนี้หนักกว่าตรงที่คู่ต่อสู้นั้นห่างชั้นกว่าแบบบานตะไท แต่ทัพช้างศึกกลับไร้หนทางที่จะสร้างรอยยิ้มให้แฟนๆ ได้สำเร็จ จนวลีในอดีตอย่าง 'ก้าวข้ามอาเซียน' วนเวียนมาอีกครา และนี่คือ 5 ประเด็น หลังเกมที่ 'SIAMSPORT' อยากแชร์ให้คุณได้อ่านกัน!!
[ 1 ] หน้าใหม่ประเดิมเกือบครบ
เป็นอันว่า 2 เกม ฟีฟ่า เดย์ พฤศจิกายน 2024 มาซาทาดะ อิชิอิ ส่งผู้เล่นหน้าใหม่ลงสนามเกือบครบทุกคน ไล่ตั้งแต่ ศฤงคาร พรมสุภะ, ทิตาธร อักษรศรี, เสกสรรค์ ราตรี และ กรกฏ พิพัฒน์นัดดา จึงขาดเพียง จิรวัฒน์ วังทะพันธ์ จอมหนึบจาก ขอนแก่น ยูไนเต็ด รายเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้สัมผัสฟลอร์หญ้า
มองในแง่นี้ ถือเป็นนิมิตหมายทิศบวกกับการที่กุนซือชาวญี่ปุ่น เปิดโอกาสให้นักเตะได้มีความหวังกับการติดทัพช้างศึก โดยมีข้อแม้เพียงข้อเดียวคือคุณต้องมีฟอร์มการเล่น 'ที่ดี' คุณก็อยู่ในข่ายที่จะถูกเรียกตัวเข้าแคมป์ฝึกซ้อม
[ 2 ] สปป.ลาว และก้าวย่างที่น่าสนใจ
ปัจจุบัน สปป.ลาว รั้งอันดับ 187 ใน ฟีฟ่า แรงกิ้ง ซึ่งเป็นลำดับที่ 39 ของเอเชีย และถ้าเอาเฉพาะภูมิภาคอาเซียน พวกเขาคือเบอร์ 10 หรือรองบ๊วย ดีกว่าติมอร์-เลสเต้ เพียงชาติเดียวเท่านั้น
แม้ว่าตลอดทั้ง 90 นาที พวกเขาจะเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่ฝั่งเดียว แต่หลายๆ จังหวะขุนพลล้านช้างกลับไม่ได้เตะทิ้งเตะขว้างเหมือนเก่าก่อน หากแต่พยายามบิวต์-อัปเกมจากแดนตนเอง แถมหลายๆ หนก็สามารถแก้เพรสซิ่งจากไทย ได้หล่อๆ เหมือนกัน
สกอร์ 1-1 ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ หากแต่มาจากการฝึกซ้อมอย่างหนักหน่วงของ สปป.ลาว ที่พยายามยกระดับให้ชาติตนเองพัฒนาขึ้นมาทัดเทียมกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต
จากนี้ต่อไป พวกเขาคงจะไม่ใช่สมันน้อยแห่งอาเซียน อีกแล้ว
[ 3 ] ยังใช้โอกาสเปลืองเช่นเคย
ปัญหาเดิมๆ ของทีมชาติไทย คือการใช้โอกาสเปลืองเช่นเคย เกมนัดก่อนที่เสมอเลบานอน ก็มีโอกาสมากกว่าคู่แข่ง แต่ก็แปรเปลี่ยนให้เป็นประตูไม่ได้ ซึ่งก็เหมือนกับแมตช์เจ๊า สปป.ลาว ที่สร้างสรรค์การเข้าทำไปด้วยตัวเลข .....
ทว่ากลับได้มาเพียงลูกเดียวเท่านั้น
นี่คือ 'โจทย์ใหญ่' ที่ อิชิอิ ต้องแก้ไขโดยด่วน เพราะว่า 14 เกม ที่เขาคุมทัพ ปรากฏว่าลูกทีมส่งบอลสู่ก้นตาข่ายไปเพียง 13 ครั้งเท่านั้น
แม้อดีตเทรนเนอร์ คาชิมะ แอนท์เลอร์ส จะได้รับการยกย่องกับการนำทีมชาติไทย เสมอซาอุดีอาระเบีย และเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นสองในบิ๊ก 5 ของเอเชีย แต่นั่นก็เพราะมาจากการวางแท็กติกที่รัดกุมจนฝั่งตรงข้ามไม่สามารถเจาะแนวรับได้
ในเจ๊า สปป.ลาว - ทัพช้างศึกมีโอกาสสับไกทั้งหมด 16 ครั้ง โดยเป็นการยิงตรงกรอบเพียง 5 หน ซึ่งถือว่าน้อยมากๆ
เท่านั้นไม่พอ การครองบอลก็เหนือกว่าลิบลับ 72 ต่อ 28 เปอร์เซ็นต์ หรือจะพื้นที่ในสนามที่เล่นกันฝั่งไทย แค่ 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
จากโอกาสทั้งหมดที่มี กลับทำได้เพียง 1 ประตู ซึ่งก็มาจากความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ของแนวรับ สปป.ลาว อีกต่างหาก
นี่ยังไม่นับรวมเรื่องของศูนย์หน้าตัวเป้าที่ใครจะก้าวมาทดแทน ธีรศิลป์ แดงดา ผู้กำลังใกล้ปลดระวาง เพราะเท่าที่ผ่านตา ศุภชัย ใจเด็ด กับ ธีรศักดิ์ เผยพิมาย นั้นยังไม่เฉิดฉายในทีมชาติเท่ากับสโมสร ขณะที่ ปรเมศย์ อาจวิไล ก็ยังไม่สม่ำเสมอ ส่วน ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา ก็น่าจะถูกถ่างออกไปเล่นด้านข้างมากกว่า
ฟุตบอลนับผลแพ้-ชนะกันที่จำนวนสกอร์ ถ้าหากยังใช้โอกาสเปลืองเช่นนี้ต่อไป คงยากที่ทีมชาติไทย จะยกระดับไปสู่สากลได้จริงๆ
[ 4 ] อาเซียน ที่ยังยากจะก้าวข้าม
แน่นอนว่าการเสมอ สปป.ลาว ย่อมทำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องหันมามองย้อนกลับไปถึงต้นตอของปัญหา เพราะเราเหนือกว่าอาคันตุกะทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานฟุตบอลลีก, ได้เล่นในบ้านตนเอง, ศักยภาพนักเตะก็คนละเรื่อง, สถิติหลังเกมก็ฟ้องทุกอย่าง และรวมไปถึงปัจจัยรอบๆ ด้านที่มองมุมใดไทย ก็ต้อง 'ชนะ' เท่านั้น
อาจจะจริงที่ขุนพลช้างศึกชุด ฟีฟ่า เดย์ พฤศจิกายน 2024 นั้นไม่ใช่ชุดที่ดีที่สุด แต่ต้องอย่าลืมว่าต่อให้คุณภาพฝีเท้าของเรายังไงก็สูงกว่าผู้มาเยือนแบบไกลโพ้น
เวลาซ้อมน้อย, ความเข้าใจกันและกันมีไม่มาก, นักเตะต้องเซฟตัวเองไว้แข่งในลีก ฯลฯ สารพันข้อกล่าวอ้างสามารถยกมาได้หมด แต่ก็ต้องยอมรับจริงๆ ว่าการเสมอ สปป.ลาว ในบ้านตัวเองถือว่า 'ล้มเหลว' โดยสิ้นเชิง
ในอาเซียน ยังมีเวียดนาม ที่จ้องจะล้มไทย ให้ได้, อินโดนีเซีย ก็ยกระดับแบบไวว่อง แถมมีผู้เล่นโอนสัญชาติอีก หรือมาเลเซีย ก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ลีกแข็งแรงจนจะเทียบเท่าเราแล้ว นี่คือ 3 ประเทศที่พร้อมจะขวางความสำเร็จของช้างศึก
'ก้าวข้ามอาเซียน' คงจะวนเวียนต่อไปตามวัฏจักรเดิมๆ ที่อยู่คู่กับแฟนฟุตบอลชาวไทย มาอย่างช้านาน
[ 5 ] เสกสรรค์ ประเดิมเหมือนฝัน
ในความขุ่นมัวกับผลการแข่งขัน ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่น่าจะทำให้แฟนฟุตบอลชาวไทย ได้ชื่นใจหน่อยคงเป็นชื่อของ เสกสรรค์ ราตรี ที่ทำผลงานได้น่าประทับใจตลอดทั้ง 2 เกม ในนามทัพช้างศึกที่ตนเองเพิ่งติดเป็นหนแรกในชีวิต
จ่ายบอลแม่นยำ, ยืนตำแหน่งได้ดี, รู้เหลี่ยมในการสอดซ้อนเพื่อนที่หลุดพื้นที่และที่สำคัญคือ 'ใจกล้า' เกินกว่าวัย 21 ปี
แม้จะเป็นหนแรกในนามทีมชาติไทย แต่เด็กหนุ่มจาก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กลับไม่มีทีท่าว่าจะตื่นตระหนกไปกับเกมการแข่งขัน เขายังเล่นได้นิ่งและเนียนกริบเหมือนที่โลดแล่นกับสโมสร กระทั่งเกือบจะยิงประตูจากระยะเกือบครึ่งสนามอีกครั้ง ก่อนจะมาซัลโวให้ไทย ขึ้นนำ 1-0 เป็นการเปิดฉากดั่งฝันในฐานะที่ออกสตาร์ตเป็นตัวจริง
ผลิตผลจาก บุรีรัมย์ อะคาเดมี่ยังคงมาตรฐานได้ยอดเยี่ยม จาก สุภโชค สารชาติ, ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา และคงจะมี เสกสรรค์ ตามมาติดๆ ในอนาคตอันใกล้นี้เอง