ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 7 หรือวันอังคารที่ 11 มิถุนายนนี้ ณ ราชมังคลากีฬาสถาน เวลา 19.30 น. หรือ 1 ทุ่มตรง เรามีนัดรวมพลังเชียร์สุดใจเกมที่ ทีมชาติไทย ลงเตะกับ สิงคโปร์ ศึกฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสอง นัดสุดท้ายของกลุ่ม ซี
การเดินทางบนถนน 'เวิลด์คัพ' ของ 'ช้างศึก' มาถึงสี่แยก! จะมุ่งหน้าตรงไปข้ามสะพานต่อ เพื่อเข้าสู่ถนนหมายเลข 3 หรือจะเข้าป้ายกลับรถใต้สะพาน และวนมาใหม่อีก 4 ปีข้างหน้า นี่คือ 5 สิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันอังคารนี้ ?
1. ศักดิ์ศรีกินไม่ได้เท่า 'เป้าหมาย' สำเร็จ
การยืมจมูกคนอื่นหายใจ หลายคนอาจรับไม่ได้ แต่เอาตามหลักในด้านกีฬา เรียนตามตรงมันไม่เสียศักดิ์ศรีหรอกครับ
แน่นอนคู่ของ เกาหลีใต้ ที่จะเตะกับ จีน แข่งก่อนเวลา 18.00 น. เงื่อนไขชัด ๆ สั้น ๆ คือ จีน ห้ามเสมอหรือชนะ จบเกมพวกเขาต้อง 'แพ้' สถานเดียว หาก 'มังกรจีน' ดันโชว์แกร่งไม่ปราชัย เป็นอันว่าทีมชาติไทย ที่เปิดรังดวล สิงคโปร์ เวลา 19.30 น. จะร่วงตกรอบทันที
จีน ยิ่งแพ้เยอะ ไทยยิ่งเล่นได้เปรียบ และที่สำคัญเจ้าถิ่น 'โสมขาว' ก็ลั่นเป้าต้องชนะเช่นกันแม้จะลอยลำเป็นแชมป์กลุ่มไปแล้ว เพราะถ้าเก็บ 3 แต้มไม่ได้ นอกจากตั้งแต่ขึ้นปี 2024 จะไม่ชนะใครในบ้านตัวเองแล้ว ยังจะร่วงมาโถ 2 ในการจับติ้วรอบที่ 3 และอาจเจอศึกหนักพบ ญี่ปุ่น, อิหร่าน หรือ ออสเตรเลีย อีกด้วย
เอาเป็นว่าอยู่โถ 1 ดีกว่า งานสบายกว่าเยอะ ไม่ต้องปวดหัว ลุ้นเหนื่อยไปเจอทีมหัวกะทิเอเชีย
2. ผลการแข่งขันต้องเอื้อแบบนี้?
ไม่มีใครมาจากอนาคต และสามารถฟันธงสกอร์ได้หรอกว่า เกาหลีใต้ จะชนะ หรือเสมอ หรือแพ้ จีน ได้แน่นอน คงมีแต่ 'โดเรม่อน' ในการ์ตูนอมตะของญี่ปุ่นเท่านั้นแหละที่รู้
แต่บางท่านอาจยัง 'ฉงน' แหละว่า กรณี จีน แพ้ เกาหลีใต้ และทีมชาติไทยเราต้องยังไงต่อ
อ่านชัด ๆ นะครับว่า จีนแพ้ 0-1 / ไทยต้องชนะ 3-0 เป็นอย่างต่ำ, จีน แพ้ 0-2 / ไทยต้องชนะ 2-0, จีน แพ้ 0-3 ขึ้นไป / ไทยขอชนะแค่ลูกเดียวพอ
3. ปลุกชีพจร ฝ่าด่านความกดดัน
สมมติหากทุกอย่างเป็นใจ สรุปแล้ว จีน แพ้ เกาหลีใต้ งานนี้ก็อยู่ที่ทัพ 'ช้างศึก' ว่าจะสามารถเอาชนะ สิงคโปร์ ได้ตามเป้าหมายหรือไม่ การเล่นด้วยภายใต้ความกดดันมีแน่นอน อยู่ที่ว่าจะฝ่าด่านความกดดันนี้ไปได้หรือไม่
คู่แข่งอย่าง 'ลอดช่อง' คงไม่บุกมาแล้วให้ 'ช้างศึก' ซดแบบเอร็ดอร่อยแน่ ๆ พวกเขาเพิ่งแพ้คาบ้านตัวเองต่อเกาหลีใต้ ยับเยินมาถึง 0-7 (สกอร์เดียวกับที่ลิเวอร์พูล ถล่มแมนยูฯ เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว)
แม้ว่าจะร่วงตกรอบไปแล้ว แต่ด้วยสปิริตของสิงคโปร์ เขามาเล่นเต็มที่และพร้อมท้าชนทีมชาติไทยเราแน่ ด้วยพวกเขามองว่าต้องกู้ศรัทธาแฟนบอลกลับคืนมา บวกกับเจอกับทีมอาเซียนด้วยกัน คงลงสนามแบบไม่เกรงกลัวเจ้าถิ่นทีมชาติไทย และพร้อมสร้างเซอร์ไพรส์กลับบ้านด้วย
งานนี้ 'ช้างศึก' จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด ลูกแรกต้องมาให้เร็วเพื่อที่จะได้เล่นสบายขึ้น แต่หากมาช้า และสถานการณ์บีบบังคับ กรณีต้องยิงให้เยอะ 2-3 ลูก บอกเลยว่า 'อันตราย' สุด ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย
4. เสียงเชียร์จากแฟนบอลสยาม
ฟุตบอลไทย ห่างหายกระแสฟีเวอร์ไปนานมาก ถึงแม้เวลานี้จะมีคนดูเข้าสนามเต็มก็ตาม ด้วยปัจจัยหลาย ๆ ด้านที่ทำให้ทีมชาติไทย กลับมามีคนดูเต็มอัตราในปัจจุบันคือ รูปแบบการเล่นดีขึ้น, เปลี่ยนโค้ชมาเป็น ‘มาซาทาดะ อิชิอิ’ มีทรงกว่าในอดีต, ฟุตบอลสไตล์ใหม่ ฯลฯ
48,900 ที่นั่ง ที่คือความจุของสนามราชมังคลากีฬาสถาน ตั๋วเกมสุดท้ายถูกจำหน่ายหมดเกลี้ยงนั่นแปลว่า คนดูเต็มสนาม เสียงเชียร์ดังกึกก้อง พร้อมข่มขวัญนักเตะอาคันตุกะให้ผวา
กระนั้นทุกแรงเชียร์ ทุกเสียงที่เปล่งออกมาจากใจของพวกท่าน มันเป็นต่อมกระตุ้นชั้นเลิศให้นักเตะไทย วิ่งพล่านไม่มีหมดแรง ทุกย่างก้าวทำตามเสียงกระตุ้นจากแฟนบอลรอบสนาม ทำให้ต้องยอมรับแบบหยาบ ๆ ว่า ผู้เล่นคนที่ 12 ของขุนพลลุ่มน้ำเจ้าพระยา 'แม่งโคตรสำคัญเลยจริง ๆ'
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือผลคู่แรกไม่เป็นใจ อย่าทอดทิ้งนักเตะทีมชาติไทยของพวกเราเด็ดขาด เพราะพวกเขาเป็นตัวแทนนักฟุตบอลไปทำหน้าที่แทนพวกเรา สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย ครั้งนี้พลาดเป้า หรือหนนี้ลิ่วรอบต่อไป ครั้งหน้ายังมีให้สู้ต่อเสมอ ขอให้ผู้เล่นคนที่ 12 ทุกคนได้ซัพพอร์ตกันต่อไป
5. ลุ้นสร้างประวัติศาสตร์เป็นหนที่ 3?
คัดบอลโลก 2002 คือครั้งแรกที่ ทีมชาติไทย ที่มี 'ปีเตอร์ วิธ' คุมทัพ สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการจบแชมป์กลุ่ม ผลงาน 6 นัด ชนะ 5 เสมอ 1 ไม่แพ้ใคร เก็บ 16 แต้ม ก่อนจะผ่านเข้าถึงรอบสุดท้ายโซนเอเชีย
และครั้งที่สองเกิดขึ้นในคัดบอลโลก 2018 ที่มี ‘ซิโก้’ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง คุมทัพ ผ่านเข้ารอบด้วยการจบแชมป์กลุ่มเช่นกัน ด้วยผลงาน 6 นัด ชนะ 4 เสมอ 2 ไม่แพ้ใคร
คราวนี้ต้องมาลุ้นกันว่า พงศาวดารวงการลูกหนังไทย จะได้จดบันทึกประวัติศาสตร์เพิ่มเข้าไปอีกได้หรือไม่ ในการลุ้นผ่านเข้าไปเล่นรอบ 3 ที่ครั้งนี้คือรอบ 18 ทีมสุดท้ายของโซนเอเชีย
คำตอบจะเป็นเช่นไร อีกไม่กี่อึดใจแฟนบอลชาวไทยทุกหมู่เหล่า คงจะได้รู้กัน!
" กอล์ฟ เบนเทเก้"