ค่ำวันนี้ถึงเวลาแฟนฟุตบอลชาวไทย ได้ลั่นกลองสนั่นทั่วดินแดนแผ่นดินสยามอีกครั้ง เมื่อทีมชาติไทย ชุดใหญ่ ของเรา เตรียมบรรเลงเพลงแข้งบนฟลอหญ้าดวลเดือด อิรัก กับเกมรอบชิงดำในเวทีบอลคิงส์คัพ 2023 หรือครั้งที่ 49
เรียนตามตรงเป็นแมตช์ที่หนักหนาสาหัสจริง ๆ ด้วยคุณภาพต้องยอมรับเลยว่า "ช้างศึก" เป็นรอง "สิงโตแห่งเมโสโปเตเมีย" อย่างแท้จริง อันดับโลกที่ห่างกันถึง 43 ขั้น ( ทีมชาติไทย 113 ของโลก) - (อิรัก 70 ของโลก) นักเตะไทยคงต้องพลีกายทุ่มเทเต็มอัตราศึก เพื่อโค่นอิรักให้ได้
1. งานลำบาก แต่อย่าว้าวุ่น
แม้จะเป็นเกมอุ่นเครื่องฟีฟ่าเดย์ แต่มันคือทัวร์นาเมนต์ "คิงส์คัพ" จัดที่บ้านของไทย แน่นอนแฟนฟุตบอล "ช้างศึก" ต้องการเห็นความสำเร็จที่จับต้องได้ หลังจากศึกลูกหนังรายการนี้ เราไม่ได้แชมป์มานานถึง 5 ปีเต็ม
หนสุดท้ายที่ไทยได้ชูโทรฟี่บอลคิงส์คัพ เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งนั่นหมายความว่าหากเราทุบ อิรัก ได้ จะเป็นการคว้าแชมป์รายการนี้รอบ 6 ปีเลยทีเดียว
ไม่แปลกใจเลยว่า เหตุไฉนสาวกผู้เล่นคนที่ 12 ต่างอยากเห็นการเป็นแชมป์ของทีมชาติไทยในค่ำวันนี้ ที่สำคัญนักเตะไทยก็คงแบกความกดดันกันพอสมควร
ซึ่งจุดนี้เป็นสิ่งที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคไปให้ได้ เพื่อคำว่า "ชัยชนะ" หากก้าวข้ามความกดดันไปได้ หลังสิ้นเสียงนกหวีดเราคงมีความสุขกันเป็นแน่
2. พิสูจน์ให้เห็น ใครกุนซือ (ตัวจริง)
มาโน่ โพลกิ้ง กำลังถูกจับตามองเรื่องอนาคตอย่างหนักหน่วง นับตั้งแต่ทีมชาติไทย มีการแต่งตั้ง มาซาทาดะ อิชิอิ เข้ามานั่งประธานเทคนิคของทีม
หลายคนสงสัยว่า หาก "มาโน่" ไม่สามารถพาทีมเป็นแชมป์คิงส์คัพหนนี้ได้ โอกาสหล่นจากเก้าอี้โค้ชใหญ่มีสูงเหลือเกิน ด้วยพลานุภาพบางอย่างจาก (หลังบ้าน) ที่แฟนบอลคงไม่สามารถรับรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คงต้องมาติดตามแบบห้ามกระพริบตาหลังจบเกมวันนี้
แต่ "มาโน่" สามารถแสดงศักยภาพ ให้เห็นได้ ด้วยการงัดกึ๋นศาสตร์กุนซือที่มีทั้งหมด ออกมาให้หมดเปลือก และทำให้เห็นว่า ผมนี่แหละคือเฮดโค้ชทีมชาติไทย ชุดใหญ่ ตัวจริงเสียงจริง ด้วยการพา "ช้างศึก" เถลิงบัลลังก์แชมป์คิงส์คัพให้ได้ และคำตอบจะปรากฎด้วยผลงาน มากกว่า "คำพูด" ไปโดยปริยาย
3. ออกหมัดเด็ดเผด็จศึกอิรัก
จากการฝึกซ้อมครั้งสุดท้าย ผมได้เห็นทีมชาติไทย เน้นซ้อมเรื่องการตั้งรับจากลูกตั้งเตะเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันการโยนบอมจากผู้เล่นอิรัก ที่มีรูปร่างสูงยาว เข่าดี ก่อนปิดท้ายด้วยการซ้อมยิงจุดโทษ
จึงกล้าพูดได้ว่า วันนี้ทัพ "ช้างศึก" จะเน้นเกมรับแบบมีระเบียบวินัย ก่อนอาศัยความเร็วจัดจ้านของแนวรุกทั้ง บดินทร์ ผาลา รวมถึง สุภโชค สารชาติ ตลอดจนแบ็กขวา นิโคลัส มิเกลสัน และหัวหอกปิดบัญชีอย่าง ธีรศิลป์ แดงดา ในการพาบอลสวนกลับเร็ว
สิ่งที่อยากฝากในฐานะแฟนบอลท่านหนึ่งคือ เมื่อมีโอกาสจบสกอร์ต้องจบ และต้องแม่นยำ บุกน้อยแต่ต่อยหนักเข้าเป้าทุกดอก ก็อาจเกิดการน็อคบนเวทีสังเวียนลูกหนังได้เช่นกัน บอลลูกกลม ๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้
4. พลังแฝงของ "กัปตันทีม"
นอกเหนือจากการต้องระมัดระวังคู่แข่ง และต้องมีสมาธิตลอดทั้งเกม 90 นาทีแล้ว แรงกระตุ้นในสนามคงต้องยกให้กับ "โก๋อุ้ม" ธีราทร บุญมาทัน ที่ต้องเป็นแรงผลักดันให้กับเพื่อนร่วมทีมกับเกมสำคัญแบบนี้
ภาระอันยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง หากสถานการณ์ไม่เป็นใจ ไทยเกิดโดนอิรักขึ้นนำ "กัปตันธีราทร" ต้องเป็นแรงขับเคลื่อนให้กับทีม ปลุกเร้าให้เพื่อน ๆ ให้สู้ต่อ เพราะหากเกมยังไม่จบ ทุกนาที ทุกวินาที มีโอกาสสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ให้เกิดขึ้นได้เสมอ
ด้วยความเป็นมืออาชีพ ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน อดีตแบ็กซ้ายโยโกฮาม่า เอฟ มารินอส ที่มีดีกรีเป็นถึงแชมป์เจลีก ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 2019 จะสร้างความแตกต่างทางด้านจิตวิทยาได้อย่างสบาย
5. พลังเชียร์ผู้เล่นคนที่ 12
อีกหนึ่งปัจจัยนอกเหนือจากนักฟุตบอลทีมชาติไทยที่สำคัญไม่แพ้กันนั่นคือ ผู้เล่นคนที่ 12 หรือแฟนฟุตบอลชาวไทยทั่วหัวระแหง ณ ดินแดนสยามเมืองยิ้ม ที่จะเข้าไปชมเกมนี้กันเต็มความจุสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี แน่นอน
เกมวันนี้เชื่อเหลือเกินว่า เหล่าบรรดาสาวก "ช้างศึก" จะประกาศศักดา ส่งเสียงเชียร์ดังก้องพสุธาแบบสุดพลังแน่นอน อย่างน้อย ๆ ก็อาจทำให้คู่แข่งอย่างอิรัก แอบหวั่นใจบ้างไม่มากก็น้อย
เผ่าพันธุ์ลูกหนังคนไทย อย่าลืมส่งแรงใจ แรงเชียร์ทัพ "ช้างศึก" ตลอดเกม 90 นาที ไม่ว่าชีพจรของพวกคุณจะเต้นแรงขนาดไหน "จงอย่าหวั่นไหว" เพื่อเป็นแรงซัพพอร์ตชั้นดีให้กับนักเตะไทย ที่ลงไปต่อกรกับ อิรัก บนสังเวียนฟลอหญ้า ณ แดนล้านนา
" กอล์ฟ เบนเทเก้ "