ผลความพ่ายแพ้ต่อมาเลเซีย 0-1 ในรอบรองชนะเลิศนัดแรกของ อาเซียน คัพ 2022 มีเรื่องให้ต้องตามต่ออีกมากมาย ทว่ายังเหลืออีกหนึ่งนัดที่บ้านของไทย ดังนั้น 'ความหวัง' ยังไม่หมดไปเสียทีเดียว กลับมาแก้ไข แล้วลุกขึ้นใหม่ พร้อมตะลุยกันต่อ และนี่คือสิ่งที่ 'SIAMSPORT' อยากแชร์ให้คุณได้อ่านกัน!!
[ 1 ] สมาธิหลุดครั้งเดียวเห็นผลทันที
ในเกมที่มีเดิมพันสูง ความกดดันย่อมเพิ่มขึ้นตามเป็นธรรมชาติ ยิ่งกับการมาเยือน บูกิต จาริล หนึ่งในสนามที่เป็นนรกของอาคันตุกะด้วยแล้ว คุณจะต้องโฟกัสกับการแข่งขันให้มากที่สุด
ไทย เริ่มต้นได้ดี แต่พอนาทีที่ 11 ซึ่งยังถือเป็นช่วงแรกของเกมกลับ 'สมาธิหลุด' ปล่อยให้มาเลเซีย ได้โอกาสยิง และก็เป็นประตูทันที
มันคือความผิดพลาดเพียงหนเดียวในเกมนี้ของทัพช้างศึก แต่ส่งผลถึงความพ่ายแพ้ เพราะนี่คือการเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่น่าเกรงขาม และสถิติการมา บูกิต จาริล ก็ค่อนข้างย่ำแย่ซะด้วย
ตลอดทั้ง 90 นาที ทีมเสือเหลืองแห่งมาลายันมีโอกาสยิงเพียง 6 ครั้ง และตรงกรอบแค่ 2 หน ซึ่งเป็นตัวเลขที่แตกต่างกับฝั่งไทย แบบบานเบอะ แต่ฟุตบอลคือกีฬาที่การยิงประตู
ผู้ที่ผิดพลาดน้อยกว่า ย่อมมีโอกาสที่จะเป็นผู้ชนะ
และการพลาดเพียงครั้งเดียวของไทย ก็เสียหายจนถึงความพ่ายแพ้นั่นเอง
[ 2 ] ช้างศึกต้องปรับเรื่องจบสกอร์
โอกาสการยิงประตู 22 ครั้ง ใน 90 นาที แถมยังมีเปอร์เซ็นต์การครองบอลมากกว่า 70 ต่อ 30 ถือเป็นตัวเลขที่เยอะมากๆ
ที่สำคัญมันคือการเล่นเกมนัดเยือนอีกด้วย
ทว่า 22 ครั้ง ที่มี กลับไม่สามารถแปรเปลี่ยนให้เป็นประตูได้เลยสักครั้ง
แน่นอนว่าด้วยมาตรฐานที่เหนือกว่าของไทย ทำให้ทัพช้างศึกเป็นฝ่ายครอบครองเกมได้เบ็ดเสร็จ แต่ก็อีกเช่นกันที่ฟุตบอลที่วัดผลแพ้-ชนะกันที่จำนวนประตู ซึ่งเมื่อทำไม่ได้ ก็มีโอกาสจะเป็นผู้ปราชัยไปนั่นเอง
เมื่อเทียบกับ 4 เกม ในรอบแรก โอกาสการยิงของทัพช้างศึกถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาโดยตลอด มีเพียงนัดเสมอกับอินโดนีเซีย เท่านั้นที่ได้สับไกแค่ 7 ครั้ง
นี่คือสิ่งที่ อเล็กซานเดร โพลกิ้ง ต้องพยายามแก้ไขโดยด่วน แม้ว่าจะมี ธีรศิลป์ แดงดา ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของทัวร์นาเมนต์อยู่ในทีมก็ตาม แต่วันใดที่หัวหอกวัย 34 ปี ถูกประกบติดเหมือนเกมเสมออินโดนีเซีย หรือแพ้มาเลเซีย มันย่อมส่งผลถึงการผลิตสกอร์ของไทย เช่นกัน
นอกจากนี้ เอกนิษฐ์ ปัญญา ซึ่งได้โอกาสออกสตาร์ตเป็นตัวจริงทุกนัด และก็มีจังหวะยิงอยู่พอสมควร แต่กลับไม่สามารถส่งบอลสู่ก้นตาข่ายได้เลยสักครั้ง มันจึงทำให้เกิดเสียงวิพากษ์-วิจารณ์พอสมควร
แนวรุกจาก เมืองทอง ยูไนเต็ด จำเป็นจะต้องเรียกความมั่นใจกลับมาไวที่สุด เพราะด้วยตำแหน่งการยืนและการเล่นของเขานั้นสามารถสร้างประโยชน์ให้ทีมได้ก็จริง ทว่าถ้ายังปิดสกอร์ได้ไม่ดีนักแบบนี้ บางทีเด็กหนุ่มจากเชียงราย ก็ไม่อาจก้าวข้ามไปเป็นนักเตะชั้นนำของประเทศได้
[ 3 ] สอบผ่านเรื่องสภาพจิตใจ
ทุกคนรู้ดีว่าทีมชาติไทย ชุด อาเซียน คัพ 2022 นั้นไม่ได้มาแบบฟูลทีม เพราะผู้เล่นหลักมากมายไม่ได้ร่วมทัพมาด้วย โดยเฉพาะสองแนวรุกจาก เจลีก อย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ สุภโชค สารชาติ
ในขณะที่ผู้เล่นบางส่วนจาก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็บินไปเก็บตัวที่อังกฤษ รวมไปถึงกลุ่มนักเตะคนที่มีประสบการณ์ในการแข่งขันระดับนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็น ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์, ทริสต็อง โด, พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล, พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา หรือ ธนบูรณ์ เกษารัตน์ ก็ไม่อยู่ใน 23 รายชื่อ
การแข่งขันในอาเซียน เมื่อคุณต้องบุกไปเยือนอินโดนีเซีย, มาเลเซีย และเวียดนาม คือเกมที่ต้องพบความกดดันขั้นสูง ทั้งจากเสียงเชียร์ของเจ้าถิ่น รวมไปถึงแท็กติกต่างๆ ที่ยากต่อการคาดเดา
ทัพช้างศึกชุด อาเซียน คัพ 2022 จึงถูกตั้งคำถามว่าจะสามารถฝ่าอุปสรรคนี้ได้หรือไม่
ผลเสมอ 1-1 ที่ เสนายัน ถือว่า 'สอบผ่าน' กับการรับมือกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก และกลับออกมาด้วย 1 คะแนน ซึ่งส่งผลให้เข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม
ส่วนเกมนี้ที่ปราชัยต่อมาเลเซีย ไปด้วยสกอร์ 0-1 อาจจะทำให้แฟนฟุตบอลชาวไทย ต้องเสียดายและผิดหวัง แต่เมื่อมองถึงรูปแบบการเล่น ต้องยอมรับว่ามาตรฐานของทัพช้างศึกนั้นเหนือกว่าเจ้าถิ่นมากทีเดียว
การครองบอลมากถึง 70 เปอร์เซ็นต์ กับโอกาสยิง 22 ครั้ง เป็นตัวเลขที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าลูกทีมของ อเล็กซานเดร โพลกิ้ง เล่นได้ตามแท็กติก แต่จากความผิดพลาดเพียงหนเดียว ทำให้เป็นฝ่ายปราชัยในท้ายที่สุด
ทว่าการบุกยำใหญ่ใส่มาเลเซีย ถึงสนาม บูกิต จาริล ก็ถือเป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นว่านักเตะชุดนี้ 'สอบผ่าน' ในเรื่องของสภาพจิตใจ ทั้งๆ ที่เผชิญหน้ากับเสียงโห่ตลอดทั้งเกม แถมยังมีช่วงหนึ่งที่แฟนๆ เจ้าบ้านปาขวดน้ำลงมา แต่พวกเขาก็ยังควบคุมอารมณ์ และเดินหน้าลุยต่อได้
ดังนั้นถ้าผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ โปรดมั่นใจได้เลยว่าทัพช้างศึกจะไม่มีหวั่นเกรงเมื่อต้องออกไปเล่นนอกสยามประเทศอย่างแน่นอน
[ 4 ] ยังมีอีกเกมให้แก้ตัว
ความพ่ายแพ้ต่อมาเลเซีย ยังไม่ใช่ที่สุดของการแข่งขัน เพราะอย่าลืมว่ายังมีอีก 1 เกม ที่บ้านเราให้ลุ้นกันต่อ และจากสิ่งที่ขุนพลช้างศึกแสดงให้เห็นในเกมนี้ ต้องบอกว่าวันอังคารที่ 10 มกราคม ทุกคนจะได้เห็นการเดินเกียร์ห้าแบบไม่มีแตะเบรกเลยทีเดียว
ลูกทีมของ อเล็กซานเดร โพลกิ้ง ทำได้เหนือกว่าทัพเสือเหลืองแห่งมาลายันในทุกมิติ
เปอร์เซ็นต์การครองบอลที่มากกว่า, โอกาสยิงที่มากกว่า, เตะมุมมากกว่า, ผ่านบอลเยอะ และอีกหลายๆ อย่างที่เหนือกว่าอย่างชัดเจน
แถมไม่ได้เหนือกว่าแบบเล็กน้อย หากแต่ทิ้งห่างกันแบบครึ่งต่อครึ่งในทุกสถิติเลยทีเดียว
หากว่าไทย ยังสามารถรักษามาตรฐานระดับนี้ได้อย่างต่อเนื่องไปถึงเกมในเลกที่สอง และเพิ่มเติม 'ความเฉียบขาด' ในการจบสกอร์ให้มากขึ้น รับประกันเลยว่าเราจะได้เห็นสกอร์ที่ขาดลอย ณ สนามกีฬาธรรมศาสตร์-รังสิต อย่างแน่นอน
ตอนนี้อย่าเพิ่งกล่าวโทษใคร อย่าเพิ่งโยนบาปให้ใคร เป็นกำลังใจให้กันก่อนจะดีกว่า
สามัคคี คือ 'พลัง' ดังนั้น 10 มกราคมนี้ ทุกคนต้องรวมใจเป็นหนึ่งเดียว เพื่อที่ช้างศึกจะได้พลิกสถานการณ์และผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศให้ได้
[ 5 ] VAR ควรนำมาใช้
แม้จะเป็นทัวร์นาเมนต์ที่ไม่ได้อยู่ในปฏิทินของสมาพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า (FIFA) ทว่า อาเซียน คัพ คือศึกลูกหนังอันดับ 1 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งถือเป็นการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของย่านนี้
ดังนั้นการที่สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งอาเซียน หรือ เอเอฟเอฟ (AFF) ปรารถนาจะพัฒนาการแข่งขันให้ไปถึงระดับสากล จึงต้องพยายามสร้างมาตรฐานต่างๆ ให้สอดคล้องไปกับนานาชาติ
ทว่า อาเซียน คัพ 2022 เป็นอีกครั้งที่เทคโนโลยีผู้ช่วยผู้ตัดสิน หรือ วีเออาร์ (VAR) ไม่ได้นำมาใช้ในการแข่งขัน ทั้งๆ ที่มีเวลาในการเตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้อยู่พอสมควร
โดยทาง เอเอฟเอฟ ให้เหตุผลว่าเนื่องจากข้อจำกัดเรื่องความพร้อม เพราะสถานการณ์ปัจจุบัน มีเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่มีการใช้ VAR ในการตัดสินเกมแข่งขัน ซึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีแค่ไทย เท่านั้นที่ใช้เทคโนโลยีนี้ในฟุตบอลลีก
ส่วนชาติอื่นๆ ยังไม่พร้อมเท่าไหร่
แน่นอนว่ามันเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้น แต่ในเมื่อคุณต้องการพัฒนาฟุตบอลในแถบนี้ให้ไปถึงระดับสากล เหตุใดเรื่อง VAR ซึ่งแพร่หลายในทั่วโลกจึงไม่นำมาใช้ในการแข่งขันครั้งนี้
ดังนั้น อาเซียน คัพ 2024 ซึ่งจะเป็นครั้งต่อไป หากว่า เอเอฟเอฟ ยังไม่เร่งแก้ไขจุดนี้ เกรงว่าฟุตบอลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็คงจะเป็นทัวร์นาเมนต์ที่เอาจริงเอาจังกันเพียงแค่โซนนี้เท่านั้น