ทัพช้างศึกบุกไปเสมอกับอินโดนีเซีย ได้แบบหวุดหวิด เพราะต้องเล่นสิบคนนานกว่า 30 นาที ทว่านี่จะเป็นเกมที่ให้ 'ประสบการณ์' ชั้นยอดกับนักเตะชุดนี้ที่จะค่อยๆ ต่อยอดในแมตช์ถัดๆ ไป และนี่คือสิ่งที่ 'SIAMSPORT' อยากแชร์ให้คุณได้อ่านกัน!!
[ 1 ] 4-3-3 ที่คุ้นเคย
อเล็กซานเดร โพลกิ้ง ปรับจากระบบ 4-4-2 ที่ใช้มา 4 นัดติดต่อกัน (ตั้งแต่เกมอุ่นเครื่อง) มาเป็น 4-3-3 ตามถนัดอีกครั้ง เพราะรู้ดีว่าคู่แข่งคืออินโดนีเซีย หนึ่งในทีมที่แข็งแกร่งที่สุดของภูมิภาคนี้
อดิศักดิ์ ไกรษร ที่ได้ลงสนามเป็นตัวจริงใน 2 นัดแรก ถูกถอดออก ก่อนจะให้ ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว ลงมาแทนที่ ในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุก ซึ่งจริงๆ แล้วเจ้าของสัมปทานเดิมคือ ชนาธิป สรงกระสินธุ์
อย่างไรก็ตามการที่ออกไปเป็นทีมเยือน บวกกับเสียงเชียร์ใน เสนายัน สเตเดี้ยม อื้ออึงกดดันอยู่ตลอดเวลา ทำให้แผนการเล่นที่ โพลกิ้ง ชื่นชอบไม่สามารถทำได้ตามถนัดนัก
บวกกับการที่ผู้เล่นของเจ้าถิ่นก็ฮึกเหิมไปด้วยกับกำลังใจที่ได้จากแฟนๆ มันจึงเป็นพลังแฝงที่ทำให้อินโดนีเซีย วิ่งแบบไม่เหน็ดเหนื่อยเพื่อเพรสซิ่งไทย จนฝั่งช้างศึกผิดฟอร์มไปเยอะ
แต่จากผลเสมอในการเล่นเกมเยือนที่ต้องพบแรงกดดันแบบนี้จะทำให้ลูกทีมของ โพลกิ้ง แข็งแกร่งขึ้นแน่ ต่อจากนี้จึงเชื่อได้เลยว่าไทย จะค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน
[ 2 ] 1 คะแนน ไม่เสียหาย
ผลเสมอจาก เสนายัน สเตเดี้ยม ถือเป็นการเก็บแต้มได้ตามเป้า แม้ว่าแฟนฟุตบอลชาวไทย อยากเห็นทัพช้างศึกบุกไปควัก 3 คะแนน ถึงถิ่นอินโดนีเซีย
ทว่าการเหลือผู้เล่นในสนามน้อยกว่า แถมสกอร์ยังตามหลัง 0-1 อยู่ถึงนาทีที่ 80 กระทั่งมาได้ สารัช อยู่เย็น ยิงประตูตีเจ๊า ก็ถือเป็นสิ่งที่น่าพอใจ
กลับกัน หากว่าทัพช้างศึกไร้คะแนนกลับบ้าน ทำให้โอกาสที่จะไปเผชิญหน้ากับเวียดนาม ในรอบรองชนะเลิศมีสูงมาก และก็ต้องยอมรับว่าไทย ชุดนี้ไม่ได้มาแบบเต็มทีมเหมือนครั้งที่ได้แชมป์ในปี 2020
การหลีกเลี่ยงการเจอกับทัพดาวทองก่อนเวลาอันควรจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมที่สุด เพราะต้องอย่าลืมว่าทีมช้างศึกยังคงนำเป็นจ่าฝูงของกลุ่ม เอ ด้วยผลต่างประตูได้-เสียที่ดีกว่า
แถมนัดสุดท้ายยังได้เล่นในบ้านตัวเอง ผิดกับอินโดนีเซีย ที่ต้องบุกไปเยือนฟิลิปปินส์ ทำให้โอกาสที่ไทย จะจบด้วยอันดับ 1 ของกรุ๊ปนี้มีสูงมาก
[ 3 ] เสียงเชียร์ที่ เสนายัน มีผล
เสนายัน ยังคงเป็น 'นรก' ของผู้มาเยือนอย่างแท้จริง แมตช์นี้ก็เช่นกันที่ทำให้นักเตะไทยหลายคนผิดฟอร์มไปอย่างมาก โดยเฉพาะบรรดาผู้เล่นที่ชั่วโมงบินในเกมระดับนานาชาติยังน้อยนิด
ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว ที่ได้ออกสตาร์ตเป็นตัวจริง และมาพร้อมความคาดหวังที่ค่อนข้างสูง แต่นัดนี้เขาไม่สามารถฉายความเก่งกาจออกมาได้เหมือนเล่นให้ ชลบุรี เอฟซี
ศุภนันท์ บุรีรัตน์ อาจจะอายุ 29 ปี และผลงานโดดเด่นมากๆ ใน 2 นัดแรกของ อาเซียน คัพ 2022 ทว่านี่เป็นเกมที่ 8 ของเขาในนามทีมชาติไทย ซึ่งต้องพบกับความกดดันจากแฟนๆ เจ้าถิ่นที่รุมโห่ตลอดเวลา
ศศลักษณ์ ไหประโคน ที่อาจจะไปกับทัพช้างศึกอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งยังผ่านเวที เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก มาแล้ว แต่พอต้องเจอความอื้ออึงที่ เสนายัน ก็มีบางจังหวะที่พลาดไป
นี่เป็นตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ที่ทัพช้างศึกชุดนี้ได้บทเรียนอันล้ำค่ากับการออกมาเยือนสนามที่อลังการและมีแรงกดดันสูงแบบนี้ จนทำให้หลายๆ คนจะเล่นได้ไม่ดีนัก
ทว่านี่คือ 'ประสบการณ์' อันล้ำค่าที่จะช่วยต่อยอดในวันข้างหน้าให้พวกเขามีจิตใจที่กร้าวแกร่งยิ่งกว่าเดิม
[ 4 ] มาร์ค คล็อก หยุดช้างศึก
แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในเกมที่อินโดนีเซีย เสมอกับไทย คงไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็น มาร์ค คล็อก คนนี้นี่เอง
มิดฟิลด์วัย 29 ปี เพิ่งได้สัญชาติอินโดนีเซีย มาเมื่อช่วงต้นปี 2022 จากการที่ย้ายจากเนเธอร์แลนด์ส ซึ่งเป็นบ้านเกิดมาค้าแข้ง ณ แดนอิเหนาได้ 5 ปี
ซีเกมส์ 2021 คือทัวร์นาเมนต์แรกของเขาในนามทัพการูด้า ซึ่งไปแข่งขันในโควตาอายุเกิน และก็พาทีมคว้าเหรียญทองแดงกลับมา
กระทั่งเดือนมิถุนายน 2022 เขาก็ได้ลงสนามในนามอินโดนีเซีย ชุดใหญ่และก็เป็นแกนหลักของทีมนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
การมี คล็อก ในแดนกลาง ทำให้ทัพการูด้ามีความสมดุลมาก เพราะมิดฟิลด์เชื้อสายเนเธอร์แลนด์ส คือนักเตะที่มีพละกำลังล้นเหลือและมีความดุดัน อีกทั้งยังมีทีเด็ดในเรื่องของลูกนิ่งอีกต่างหาก
นอกจากจะสารพัดประโยชน์ ในนัดเสมอไทย 1-1 เราคงได้เห็นการเตะตัดเกมของกองกลางรายนี้บ่อยครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็ทำได้เนียนตา และไม่ได้รับใบเหลืองจากผู้ตัดสินเลย แถมยังช่วยหยุดความต่อเนื่องของทัพช้างศึกได้อีกต่างหาก
ดังนั้น คล็อก จึงเป็นฟันเฟืองชิ้นสำคัญของอินโดนีเซีย ชุดนี้ที่จะขาดไม่ได้เสียแล้ว
[ 5 ] ต้องมีแผนสำรองหาก ธีรศิลป์ + ธีราทร โดนล็อกเป้า
ธีรศิลป์ แดงดา กับ ธีราทร บุญมาทัน คือสองผู้เล่นที่มีประสบการณ์ในระดับนานาชาติสูงที่สุดในทีมชุดนี้ และทั้งคู่ก็ได้รับการยกย่องจากทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่าเป็นผู้เล่นที่ 'เก่งที่สุด' ในตำแหน่งของพวกเขาเอง
2 นัดแรกที่ลงสนาม ทั้งคู่แสดงให้เห็นถึง 'คลาส' ฟุตบอลที่สร้างความแตกต่างให้ทีมแบบชัดเจน
ทว่าฟอร์มแบบนี้ย่อมอยู่ในสายตา ชิน แท-ยง เฮดโค้ชอินโดนีเซีย ที่ถือเป็นหนึ่งในกุนซือที่ดีที่สุดของทวีป ที่มองออกว่าทัพช้างศึกจะพบกับปัญหาแน่ หากตัด ธีรศิลป์ และ ธีราทร ออกจากเกมได้
ซึ่งภาพที่ออกมาก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
อดีตหัวหออก อัลเมเรีย ที่รับบทศูนย์หน้าตัวเป้าถูก ฆอร์ดี้ อามัต และ ฟัชรุดดิน อาริยานโต้ 2 คู่ปราการหลังประกบติดแบบแทบไม่ได้กระดิกไปไหน
ขณะที่ ธีราทร ก็ถูกบีบพื้นที่อยู่ตลอดเมื่อได้บอล โดนเฉพาะ มาร์ค คล็อก ที่บล็อกการเล่นของแข้ง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ตลอดทั้งเกม
ผลที่ออกมาคือ 2 คีย์แมนทีมชาติไทย โชว์ฟอร์มไม่ออก และนั่นทำให้เกมของทัพช้างศึกไม่ไหลลื่น และค่อนข้างอึดอัดด้วยซ้ำ
ดังนั้นนี่คือ 'โจทย์' ที่ อเล็กซานเดร โพลกิ้ง ต้องขบคิดและหาแผนสำรองไว้เผื่อด้วย เพราะพอเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ คู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งกว่านี้ และแต่ละทีมก็รู้ดีถึงพิษสงของ ธีรศิลป์ กับ ธีราทร ว่าถ้าปล่อยให้สองคนนี้เล่นง่าย พวกเขาก็มีสิทธิ์น้ำตาตกได้เช่นกัน