แม้ว่า รีโว่ ลีก คัพ จะมีความสำคัญต่อจาก ไทยลีก และ ช้าง เอฟเอ คัพ ทว่าฤดูกาล 2023-24 ถ้วยใบนี้นั้นได้รับความสนใจจากแฟนฟุตบอลชาวสยามประเทศมากกว่าปีที่ผ่านๆ มา
ส่วนหนึ่งคือการที่กระแสทีมชาติยังไม่จางหาย บวกกับการที่คู่ชิงชนะเลิศดันเป็น บีจี ปทุม ยูไนเต็ด และ เมืองทอง ยูไนเต็ด สองสโมสรใหญ่ที่มีผู้ติดตามเป็นเบอร์ต้นๆ ของดินแดนขวานทอง มันจึงมีความหมายในหลากแง่มุม
กระต่ายแก้วไร้ถ้วยรางวัลมาตั้งแต่ซีซั่น 2020-21 (ไม่นับรวม ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนชิพ) แถมยังทุ่มทุนมหาศาลในการดึงนักเตะชั้นนำของเมืองไทย มาร่วมทัพมากมาย
ทว่าผลงานในสนามกลับสวนทางอย่างเหลือเชื่อ โดยเฉพาะในลีกที่หมดลุ้นแชมป์ตั้งแต่ไก่โห่ เพราะฟอร์มลุ่มๆ ดอนๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้
ดังนั้นนัดชิงชนะเลิศ รีโว่ ลีก คัพ 2023-24 พวกเขาจึงหมายมั่นปั้นมืออย่างหนักหน่วงว่าจะต้องไปให้ถึงปลายทาง เพื่อต่อยอดไปยังฤดูกาลหน้า เนื่องจากเป้าหมายของ บีจี ปทุม คือการเป็นเบอร์หนึ่งในทุกๆ รายการในประเทศที่มีส่วนร่วม
ชื่อชั้นของ ธีรศิลป์ แดงดา, ชนาธิป สรงกระสินธ์, สารัช อยู่เย็น, พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล, กฤษดา กาแมน คือนักเตะทีมชาติชุดใหญ่ และก็เป็นขาประจำที่ติดโผอยู่เสมอ ไม่ว่ากุนซือจะเป็นใครก็ตาม
บวกด้วยสองพี่น้องโควตาอาเซียน อีร์ฟาน กับ อิกห์ซาน ฟานดี้ สองดาวดังสิงคโปร์ โดยเฉพาะหลายหลังที่เพิ่งซัลโวสุดคมสร้างความช้ำชอกให้ไทย ไปหมาดๆ
ขณะที่แข้งต่างชาติ น่าเสียดายที่หมดสิทธิ์ใช้งาน อิกอร์ เซอร์เกเยฟ หัวหอกอุซเบกิสถาน ที่พักยาว จึงเหลือเพียง วิคตอร์ คาร์โดโซ่ และ เฟร็ดดี้ อัลวาเรซ ให้ใช้งาน
จากขุมกำลังที่ บีจี ปทุม มีอยู่ ยังไงก็ดูจะเป็นต่อฝั่งกิเลนผยองอยู่พอสมควร
อย่างไรก็ตาม เมืองทอง ที่อาจจะดูเป็นรองเมื่อนำตัวผู้เล่นมาเทียบตำแหน่งต่อตำแหน่งในแผนผังบนกระดาน
ทว่าจากฟอร์มปัจจุบันที่ชนะถึง 13 จาก 14 เกม ในทุกรายการ (นับรวมชนะลูกจุดโทษ ขอนแก่น ยูไนเต็ด เข้าไปด้วย) โดยแพ้ต่อ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กับแมตช์ ไทยลีก โดยนัดนั้นพวกเขาก็ไม่ได้เป็นรองปราสาทสายฟ้าเลยแม้แต่น้อย
นี่คือผลงานที่ยอดเยี่ยมมากๆ ซึ่งมันส่งผลถึงกำลังใจของนักเตะที่คึกคักกันสุดๆ โดยเฉพาะแนวรุกทีมชาติไทย อย่าง ปรเมศย์ อาจวิไล และ เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์ ที่พัฒนาแบบก้าวกระโดดในฤดูกาล 2023-24
น่าเสียดายที่กิเลนผยองจะไม่มี วิลเลียน พ็อพพ์ เนื่องจากติดโทษแบน มิเช่นนั้นกองหลังของ บีจี ปทุม ได้ปวดขมับแบบต่อเนื่องเป็นแน่
แม้จะไร้แกนหลักคนสำคัญ แต่ภาพรวมของ เมืองทอง ก็ยังอันตรายอยู่ดี เพราะพวกเขามี ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร คอยทำเกมในแดนกลาง ซึ่งอดีตมิดฟิลด์ เลสเตอร์ ซิตี้ เป็นผู้เล่นที่ทำให้ทีมมีความสมดุล อีกทั้งยังมีสปีดบอลที่ไวมาก ยากแก่การคาดเดา
เท่านั้นไม่พอ คคนะ คำยก ดาวโรจน์อนาคตไกลก็เป็นอีกหนึ่งนักเตะที่น่าจับตามอง เพราะมักจะสอดไปทำประตูได้บ่อยครั้งในระยะหลัง อย่างล่าสุดก็เพิ่งยิงใส่ บุรีรัมย์ ไปหมาดๆ
ที่สำคัญที่สุด ณ ปัจจุบัน กิเลนผยองมีแนวรับที่ลงตัวสุดๆ เพราะการได้ กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ กลับมาเฝ้าเสาอีกครั้งนั้นช่วยทีมได้มหาศาล
นับตั้งแต่จอมหนึบวัย 34 คัมแบ็กสู่ฟลอร์หญ้า ฟอร์มในสนาม เมืองทอง ก็กระฉูดเป็นว่าเล่น ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้เลยถึงความสำคัญของอดีตนายทวาร โอเอช ลูเวิน ที่เข้ามาเป็นผู้บังคับบัญชาแผงหลังจนแข็งโป๊ก ยากแก่การเจาะเข้าไป
จุดเด่น-จุดด้อยของทั้งสองทีมแตกต่างกันออกไป ซึ่งกุนซือของพวกเขาต่างก็คงรู้ดีว่าจะวางแท็กติกใดมาสู้
ศักยภาพโดยรวมของนักเตะ บีจี ปทุม ดูเหนือกว่า แต่ฝั่ง เมืองทอง ก็กำลังฮึกเหิมและพร้อมลงโทษได้ทุกวินาที
เกมรับของกระต่ายแก้ว โดยเฉพาะฟูลแบ็กดูจะมีช่องโหว่ให้เจาะเข้าไป แต่ทางกิเลนผยองก็ไร้ พ็อพพ์ ซึ่งเป็นคนสำคัญอย่างยิ่งยวด และที่แนวรุกหมายเลข 7 ติดโทษแบนนั้นส่งผลโดยตรง เพราะมันลดทอนประสิทธิภาพเกมบุกของยอดทีมแห่งแจ้งวัฒนะแบบมากมายก่ายกอง
นัดชิงชนะเลิศ รีโว่ คัพ 2023-24 ระหว่าง บีจี ปทุม กับ เมืองทอง มีความหมายมากกว่าตำแหน่งแชมป์ เพราะถ้วยใบนี้จะเป็น 'เชื้อเพลิง' ที่ส่งผลถึงปีต่อๆ ไปของทั้งคู่ เนื่องจากต่างฝ่ายต่างก็เหินห่างความสำเร็จกันมานานทีเดียว
ดังนั้นรูปเกมที่สนามกีฬามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์-รังสิตในวันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายนนี้คงจะออกมาแบบอึดอัดพอสมควร เพราะทั้งกระต่ายแก้วและกิเลนผยองไม่ปรารถนาจะเป็นผู้แพ้พ่าย
สิ่งที่จะตัดสินผลการแข่งขันจึงขึ้นอยู่กับว่า บีจี หรือ เมืองทอง ใครพลาดน้อยกว่า ฝั่งนั้นแหละจะเป็นผู้ชนะในบั้นปลาย
-ชิกกะด้าว-