เมืองทอง ยูไนเต็ด กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คือ 2 สโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของประเทศไทย ในปัจจุบัน
ด้วยโทรฟี่แชมป์ที่ประดับตู้โชว์ ทำให้กิเลนผยองและปราสาทสายฟ้ากลายเป็น 'คู่ปรับ' ไปโดยปริยาย
ไม่ว่าจะที่ไหน, เมื่อใดหรือสถานะใด การแข่งขันระหว่าง เมืองทอง กับ บุรีรัมย์ คุณจะได้เห็นเกมที่เต็มไปด้วยคุณภาพแบบ 10 เต็ม 10
แม้ว่าฝั่งปราสาทสายฟ้าจะดูเหนือกว่า ทั้งในแง่ของจำนวนถ้วยรางวัล และรวมไปถึงสถิติที่พวกเขาขี่กิเลนผยองอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่มีสักครั้งเลยที่พวกเขาจะเอาชนะคู่ปรับตัวฉกาจแบบง่ายดาย
การโคจรมาพบกันในรอบ 16 ทีม สุดท้าย ของศึก รีโว่ ลีก คัพ 2022-23 รอบ 16 ทีม สุดท้าย หลายๆ คนอาจเสียดายที่มาปะทะกันไวไปหน่อย ทว่าในอีกแง่หนึ่ง มันก็ทำให้แฟนฟุตบอลได้ชมเกมที่เร้าใจไปในตัว
เมืองทอง ที่อาจจะอยู่อันดับ 9 ของตาราง ไทยลีก แถมมีแต้มตามหลัง บุรีรัมย์ ถึง 23 คะแนน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะด้อยไปกว่าจ่าฝูงสักเท่าไหร่
ในช่วงเลกแรกของฤดูกาล 2022-23 ยักษ์ใหญ่แห่งย่านแจ้งวัฒนะทำแต้มตกหล่นไปเยอะมาก โดยเผลอในเกมที่ไม่ควรจะพลาดไปหลายนัด จนทำให้ถูกมองว่าฟอร์มการเล่นไม่ดีเท่าที่ควร
ทว่าถ้ามองลึกลงไปในเรื่องของรายละเอียด พวกเขายังคงยึดมั่นในแนวทางฟุตบอลของตัวเอง ซึ่งมาจากการรังสรรค์ของ มาริโอ ยูรอฟสกี้ กุนซือหนุ่มผู้นิยมเกมรุกแบบมีสไตล์
ประมาณว่าจะแพ้-ชนะเป็นเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่ต้องนำมาก่อนเป็นลำดับแรก คือการเล่นแบบประทับใจแฟนๆ
การแข่งขันในเลกแรกจึงจะเห็นได้ว่ากิเลนผยองใส่เกียร์ห้า เดินหน้าบุกคู่แข่งทุกนัด แต่ด้วยความที่จังหวะสุดท้ายยังไม่ลงล็อก มันเลยทำให้ไม่ได้ประตูสักที
ปัจจัยหลักที่ทำให้ผลงานของ เมืองทอง ไม่ค่อยดีนักคือการขาดหายไปของ วิลเลียน พ็อพพ์ แนวรุกชาวบราซิล ที่เป็นหัวใจสำคัญมาโดยตลอดในยุคที่ ยูรอฟสกี้ คุมทีม
นอกจากมิติในเกมบุกที่หายไป กิเลนผยองยังไม่มีใครเป็นตัวเชื่อมระหว่างนักเตะต่างชาติกับคนไทย, ไม่มีผู้เล่นประเภทดุดันที่พร้อมบวกฝั่งตรงข้ามเมื่อเห็นทีมตัวเองเสียเปรียบ, ไม่มีตนที่หาพื้นที่จบสกอร์ได้ดีในกรอบเขตโทษ และไม่มีอีกหลายๆ สิ่งในแดนบนนั่นเอง
ทว่า ณ ตอนนี้พวกเขาได้ พ็อพพ์ กลับมาแล้ว หลักฐานชั้นดีว่าเหตุไฉนกองหน้าวัย 28 ปี จึงสำคัญสำหรับ เมืองทอง คือเกมที่บุกไปถล่ม ลำปาง เอฟซี 5-1
ก่อนหน้านี้ 9 นัด ในฐานะอาคันตุกะ - กิเลนผยองเก็บ 3 คะแนน ได้แค่นัดเดียวเท่านั้น
แต่พอได้ พ็อพพ์ เข้ามา ทุกอย่างลงล็อกในทันที ฟันเฟืองต่างๆ ทำงานกันได้ไหลลื่น และน่าสนใจว่าเกมกับ บุรีรัมย์ แนวรุกของ เมืองทอง จะยังร้อนแรงเช่นเดิมอีกหรือไม่
ฟากปราสาทสายฟ้าที่ซีซั่นนี้ยังคงมาตรฐานดังเดิม แถมดูจะสูงขึ้นกว่าปีก่อนๆ เลยด้วยซ้ำกับการไม่แพ้ใครในลีกเลยในเลกแรก แถมเปิดฉากเลกที่สองก็บุกไปยำใหญ่ใส่ สุโขทัย เอฟซี อีกต่างหาก
เรียกได้ว่าฟอร์มดีไม่มีสะดุดจริงๆ
ลูกทีมของ มาซาทาดะ อิชิอิ ถือว่าเพียบพร้อมไปทุกตำแหน่ง ผู้รักษาประตู, ฟูลแบ็ก, เซนเตอร์ฮาล์ฟ, มิดฟิลด์, ปีกและศูนย์หน้าต่างเป็นนักเตะระดับท็อปของ ไทยลีก ทั้งนั้น
มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาจะยืนหยัดอยู่บนหัวตารางในขณะนี้
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการกลับมาเยือน ธันเดอร์โดม สเตเดี้ยม ของ ธีราทร บุญมาทัน กัปตันทีมชาติไทย ชุดแชมป์ อาเซียน คัพ 2022
ปัจจุบันอดีตแชมป์ เจลีก 2019 ปรับบทบาทมาเล่นเป็นกองกลางคู่กับ โกรัน เคาซิช ได้อย่างกลมกลืน
แม้จะไม่ใช่ตำแหน่งที่สร้างชื่อ แต่ผลงานในการยืนมิดฟิลด์ของ ธีราทร จัดจ้านเอามากๆ เพราะการจ่ายบอลที่เฉียบขาดและแม่นยำของเขาสามารถสร้างความแตกต่างได้เพียงเสี้ยววินาที
การมีเขาปักหลักอยู่กลางสนามนั้นมีประโยชน์หลายหลากมาก ทั้งการคุมจังหวะ, การจ่ายบอล, การเชื่อมระหว่างแดนหลังไปสู่ข้างหน้าหรือการอ่านเกมที่แข้งวัย 32 ปี มักจะดักทางคู่ต่อสู้ให้เป็นอยู่เป็นประจำ
การมาเยือน ธันเดอร์โดม ของ ธีราทร เขาจะทำได้ดีเพียงใด อีก 90 นาที ข้างหน้าเราทุกคนคงจะได้รู้กัน
นี่เป็นเพียง 2 ผู้เล่นคีย์แมนที่สามารถพลิกผลการแข่งขันได้ในชั่วพริบตา และไม่ใช่ว่าคนอื่นๆ จะด้อยกว่า เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีอาวุธหนักไว้เล่นงานกัน
เมืองทอง มีทั้ง เอกนิษฐ์ ปัญญา, วีระเทพ ป้อมพันธุ์, เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์, เอริก โจฮาน่า, เฮนรี่ อานิเยร์ และรวมไปถึง ปรเมศย์ อาจวิไล ที่กำลังอยู่ในช่วงมั่นใจสุดขีด
บุรีรัมย์ เองก็พร้อมสรรพด้วยยุทโธปกรณ์ระดับชาติ ศุภชัย ใจเด็ด, ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา, พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี พ่วงด้วยแข้งนอกอย่าง โจนาต็อง โบลันญี่, ลอนซาน่า ดูมบูญ่า และสองแข้งใหม่ ฟิลิป โรกิช กับ ฮาริส วุชคิช
นี่คือเกมการแข่งขันที่ทุกคนจะได้ชมการแข่งขันที่เร้าใจ ใครที่ไปชมถึงขอบสนาม รับประกันว่าทุกบาท ทุกสตางค์ที่จ่ายไป คุณจะได้รับความคุ้มค่ากลับมา หรือผู้ชมทางบ้านก็จะได้เห็นว่าคุณภาพของฟุตบอลไทย ยกระดับขึ้นไปอีกขั้นแล้ว
ดังนั้น เมืองทอง - บุรีรัมย์ ในวันพุธที่ 25 มกราคมนี้ จะเป็นเกมระดับ 5 ดาวแน่นอน!!
ชิกกะด้าว