บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด มหาชน ได้จัดงานมหกรรมด้านความยั่งยืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน Sustainbility Expo 2022 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 27 ก.ย.65 โดยในส่วนของบูทของวงการฟุตบอลมีสโมสรอย่าง ชลบุรี เอฟซี , โปลิศ เทโร , โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี , ฉะเชิงเทรา ไฮเทค เอฟซี มาร่วมเสวนาเรื่อง "การสร้างคนด้วยกีฬาและสร้างคุณค่า"
โดยได้รับเกียรติจาก ณรงค์วิทย์ อุ่นแสงจันทร์ ผู้อำนวยการโครงการช้างเผือกโรงเรียนอัสสัมชัญ ธนบุรี , อรรณพ สิงห์โตทอง รองประธานสโมสรชลบุรี เอฟซี , ชนะวิทย์ ฉายแสง ประธานที่ปรึกษาสโมสรฉะเชิงเทรา ไฮเทค เอฟซี และ คุณสินทวีชัย หทัยรัตนกุล นักฟุตบอลสโมสรโปลิศเทโร และนายกสมาคมนักกีฬาฟุตบอลอาชีพ เข้าร่วมพูดคุย
อรรณพ สิงห์โตทอง ได้เผยว่า "เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ได้ไปรับลูกที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ศรีราชาและได้เจอกับโครงการช้างเผือก เราสนใจฟุตบอลเลยมาเริ่มทำ มันเริ่มจากตรงนี้แล้วเมื่อเด็กมันโตมาเรื่อยๆเราต่อยอดเด็กพวกนี้ ผลักดันให้เป็นนักฟุตบอลอาชีพ ทำไปเรื่อยๆไม่คิดว่าเราจะได้เริ่มเข้ามาทำฟุตบอลอาชีพจริงๆ เราได้เอาเด็กพวกนี้ไปแข่ง ตอนนั้นมีการรวมลีก จากโปรลีก แล้วชลบุรีดันได้แชมป์มันเลยกลายเป็นกระแสระดับประเทศจากทีมเล็กๆทีมภูธร ต่อยอดมาเรื่อยๆ กับปัจจุบันเราพบเจออุปสรรคในการทำงานอยู่แล้วแต่เรารักมันเราค่อยๆแก้ไขปัญหาต่างๆสุดท้ายก็ผ่านมันไปได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องรักมัน เต็มที่กับฟุตบอลแล้วฟุตบอลจะมาตอบแทนเรา"
ณรงค์วิทย์ อุ่นแสงจันทร์ เล่าว่า "ตอนที่เริ่ม ตอนนั้น อาจารย์สาธิต วิโรจนะ เขาได้มาทาบทามผมก่อน แล้วช่วงนั้นลูกชายผมจะเข้าโรงเรียนอัสสัมชัญพอดี ผอ. ในตอนนั้นก็อยากทำทีมฟุตบอล เราเลยตกลงร่วมทำไปไม่ได้คิดจริงจัง พอทำได้สักปีแล้วสนุกดี เลยเริ่มมาทำจริงจัง ตอนปีแรกที่อัสสัมชัญ ธนบุรีประกาศรับสมัครเด็กกีฬาฟุตบอล มีเด็กมาคัดแค่ 7 คนเท่านั้น"
"หลังจากนั้นเราได้พบกับ "พี่โต้ง" กิตติรัตน์ ณ ระนอง เขาได้หาสปอนเซอร์มาให้จนตอนนั้นมมีเงินบ้าง แล้วหลังจากนั้นทำไปทำมาเราได้รับการสนับสนุนจากช้าง และยาวนานมาถึงตอนนี้ และตอนนี้ปีล่าสุดมีเด็กมาคัดกับเรประมาณหนึ่งหมื่นคน สำหรับปัญหากคือเด็กๆเขายังเป็นเด็ก ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ เรารับเขามาเราต้องเลี้ยงดูเขาให้ดี เด็กที่จบออกมาเก่งทุกคน ที่สุดแล้วแต่วาสนาของเด็กแต่ละคนว่าไปไกลได้แค่ไหน อย่างในทีมชาติได้เห็นชื่อเด็กๆของเรา เรา ดีใจมากแล้ว สิ่งที่ผิดพลาดเป็นตราบาปในใจคือตอนนั้นเราไม่ได้รับ" เมสซี่เจ" ชนาธิป ทรงกระสินธ์ เพราะเราทำงานกันเป็นทีม ทีมงานเรามองว่าตัวเล็กเกินไปแล้ว จนมาตอนนี้เขาเติบโตมีชื่อเสียงมากมาย"
ชนะวิทย์ ฉายแสง เปิดเผยว่า "เราโตมาในครอบครัวที่ชอบฟุตบอลอยู่แล้ว ผมมีโอกาสได้เข้ามาช่วง ฉะเชิงเทราทำทีมฟุตบอล ตอนนั้นคิดว่าทำทั่วไปๆ เราคิดว่าจะทำยังไงให้ทีมบ้านเรายั่งยืนให้ได้ เราได้มีโอกาสเตะกับชลบุรี เอฟซี เขาเอาแต่เด็กๆมาแข่งและเราก็ชนะเขาได้ เราเลยเริ่มศึกษาและเข้าใจว่าต้องให้เด็กๆมีเกมลงเล่น ให้มีประสบการณ์เราจึงนำไปใช้กับฉะเชิงเทราบ้าง แรกๆก็โดนด่าเอาเด็กลงมาทำไม จนแฟนบอลตอนนี้เข้าใจการทำงานของเรา เราพยายามให้เด็กสอดแทรกมาในทีม ให้เด็กๆได้ลงผสมกับผู้เล่นตัวหลักเด็กๆของเราจะได้มีโอกาสไปเล่นในไทยลีก 2 หรือไทยลีก 1 หรือมีโอกาสไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ๆ ได้มีโอกาสเรียนจนจบ 10 กว่าปีที่ทำมาเราล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด ช่วงโควิดก็ลำบากแต่เราก็ผ่านมาได้"
ด้าน สินทวีชัย หทัยรัตนกุล ได้เผยว่า "ผมไม่คิดว่าตัวผมจะมาถึงจุดนี้ ถ้ามองย้อนกลับไปเราแค่เล่นฟุตบอลด้วยความสนุกจนได้มีโอกาสดูทีวีดูบอลทีมชาติไทยก็เกิดแรงบันดาลใจ จึงหาที่ที่จะพาเราไปถึงจุดนั้นได้และได้มีโอกาสไปเรียนที่ อัสสัมชัญ ศรีราชา นี่ถือเป็นก้าวสำคัญ ตอนนั้นรู้สึกกดดันมากแต่มันหล่อหลอมเราจนเราสามารถเล่นได้ทนแรงกดดันได้เหมือนฟุตบอลอาชีพ เราพัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆจนมาถึงจุดนี้ ผมเองที่มีโอกาสดี มีชื่อเสียงเงินทองครอบครัว ทุกอย่างในชีวิตได้มาจากฟุตบอลทั้งหมด ฉะนั้นผมอยากตอบแทนอะไรให้กับฟุตบอลวงการบอลไทยบ้างก็อยากจะเป็นแรงบันดาลใจให้น้องๆ แนะแนวทางให้น้องๆ ฟุตบอลไทยจะได้ยั่งยืนต่อไป"