ผลจับฉลาก เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก 2023-24 รอบแบ่งกลุ่มเผยโฉมออกมาเป็นที่เรียบร้อย - 3 สโมสร ตัวแทนจาก ไทยลีก ได้คู่ต่อสู้ที่จะต้องเผชิญเช่นกัน แต่ละทีมต่างก็เจอศึกน้อยและหนักลัดหล่นกันไป ว่าแล้ว 'SIAMSPORT' จึงขันอาสามา 'วิเคราะห์' ถึงโอกาสเป็นไปได้ที่ก๊วนจากสยามประเทศมีโอกาสจะผ่านเข้าสู่รอบต่อไปมากน้อยเพียงใด!!
เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก 2023-24 รอบแบ่งกลุ่ม จะแข่งขันในระบบเหย้า-เยือน และจะเริ่มฟาดแข้งระหว่างเดือนกันยายน-พฤศจิกายน
[ 1 ] กลุ่ม เอฟ (แบงค็อก ยูไนเต็ด)
คู่ต่อสู้ : ชนบุค ฮุนได มอร์เตอร์ส (เกาหลีใต้), ไลอ้อน ซิตี้ เซเลอร์ส (สิงคโปร์), คิตฉี เอสซี (ฮ่องกง)
แบงค็อก น่าจะเป็นทีมที่มีโอกาสทะลุรอบ 16 ทีมสุดท้ายมากที่สุดในบรรดา 3 สโมสรตัวแทนจากแดนขวานทอง เพราะคู่ต่อสู้มีเพียง ชนบุค เท่านั้นที่น่าจะสร้างความลำบากใจให้กับพวกเขา ด้วยมาตรฐานของฟุตบอลเกาหลีใต้
อย่างไรก็ตาม นี่คือหนแรกที่บียูผ่านเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่ม (ไม่นับรวมสมัยใช้ชื่อมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เมื่อปี 2007) ดังนั้นเรื่องของประสบการณ์ของทัพแข้งเทพจึงมีน้อยกว่าเพื่อนร่วมกรุ๊ปที่มักจะผ่านเข้ามาเล่นในถ้วยนี้อย่างสม่ำเสมอ
ผู้เล่นของ แบงค็อก ชุดนี้มีเพียง พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา, ฐิติพันธุ์ พ่วงจันทร์, สุพรรณ ทองสงค์, นิติพงษ์ เสลานนท์ และ อานนท์ อมรเลิศศักดิ์ เท่านั้นที่เคยลงเล่นใน เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม ทว่าทั้งหมดก็ผ่านเกมกับอดีตต้นสังกัดล้วนๆ
เช่นเดียวกันกับ ธชตวัน ศรีปาน ที่เคยคุม เมืองทอง ยูไนเต็ด ทะลุถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายในปี 2017
ทว่าด้วยศักยภาพที่มีอยู่ พวกเขาน่าจะมีดีพอสำหรับการผ่านรอบแรก เพราะปัจจุบันขุมกำลังของบียูอุดมไปด้วยนักเตะชั้นนำของ ไทยลีก ไล่ตั้งแต่ผู้รักษาประตูไปจนถึงกองหน้า แบงค็อก สามารถต่อกรได้ทุกทีมแน่นอน
คู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดของพวกเขาในรอบแบ่งกลุ่มคงจะเป็น ชนบุค อดีตแชมป์รายการนี้ 2 สมัย ที่ประสบการณ์เข้มคลั่กในถ้วยเอเชีย
ส่วนอีกสองทีม น่าจะมีเพียง คิตฉี ที่ แบงค็อก ต้องเน้นหนัก เนื่องจากตัวแทนจากฮ่องกง นั้นเป็นขาประจำของ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก ในระยะหลัง จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
ขณะที่ ไลอ้อน ซิตี้ รองแชมป์ลีกสิงคโปร์ นั้นพวกเขาต้องเก็บ 6 แต้มเต็มให้ได้ หากหวังผ่านสู่รอบต่อไป
โอกาสเข้ารอบ 16 ทีม สุดท้าย : สดใสกริ๊ง แต่ต้องเล่นด้วยความรัดกุมและไม่ประมาทคู่ต่อสู้
[ 2 ] กลุ่ม เอช (บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด)
คู่ต่อสู้ : ว็องต์โฟเร่ต์ โกฟู (ญี่ปุ่น), เมลเบิร์น ซิตี้ (ออสเตรเลีย), เจ้อเจียง เอฟซี (จีน)
หนแรกในรอบ 3 ฤดูกาลที่ บุรีรัมย์ กลับมาเล่นใน เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก และก็ถือว่าผลจับฉลากที่ออกมานั้นเข้าทางพวกเขาเลยทีเดียว เนื่องจากคู่ต่อสู้ในรอบแบ่งกลุ่มนั้นไม่หนักหนาสาหัสเท่าไรนัก
คู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดของปราสาทสายฟ้าคงจะมีเพียง เมลเบิร์น สโมสรเครือเดียวกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เท่านั้นที่น่าจะสร้างความหวั่นใจให้กับแชมป์ ไทยลีก ได้มากหน่อย
ส่วน ว็องต์โฟเร่ต์ ที่อาจจะมาในฐานะทีมจากญี่ปุ่น ก็จริง แต่ปัจจุบันพวกเขายังอยู่ใน เจลีก 2 แถมผลงานก็ลุ่มๆ ดอนๆ เสียด้วย แต่ได้มาถ้วยใหญ่ของเอเชีย เพราะดันได้แชมป์ เอ็มเพอร์เรอร์ส คัพ 2022 แบบสุดเซอร์ไพรส์
ขณะที่ เจ้อเจียง นั้นดูดีมาราศีก็จริง แต่เกมที่เอาชนะ การท่าเรือ เอฟซี ได้ 1-0 ในรอบเพลย์-ออฟ ก็เห็นได้ชัดเจนว่าคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่ บุรีรัมย์ จะผ่านไปได้ แถมทัพยักษ์เขียวก็เพิ่งเข้ามาเล่นถ้วยนี้เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 12 ปี ประสบการณ์น้อยกว่าปราสาทสายฟ้ามากมายทีเดียว
ด้วยองค์ประกอบของแชมป์ ไทยลีก ที่แข็งแกร่งในทุกตำแหน่ง ทำให้มั่นใจได้เลยว่าพวกเขาไม่น่าพลาดตั๋วรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยเฉพาะการที่ฝ่ายบริหารของสโมสรมีเป้าหมายในถ้วยเอเชีย ทำให้ความมุ่งมั่นของนักเตะและทีมงานย่อมสูงขึ้นตามตัว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโอกาสที่จะผ่านรอบแบ่งกลุ่มเป็นไปได้เยอะ แต่ก็ต้องไม่ประมาทคู่แข่ง อีกทั้งการขับเคี่ยวของลีกในประเทศ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจทำให้ บุรีรัมย์ ต้องปันสมาธิจนพะวง 2 รายการ ซึ่งนั่นอาจจะส่งผลให้ยอดทีมแห่งแดนอีสานต้องผิดหวังในบั้นปลาย
ทว่าด้วยพะยี่ห้อปราสาทสายฟ้า ยังไงเสียพวกเขาก็น่าจะเอาตัวรอดไปได้แน่ๆ ขึ้นอยู่กับว่าจะได้อันดับ 1 หรือ 2 ของกรุ๊ป เอช เท่านั้น
โอกาสเข้ารอบ 16 ทีม สุดท้าย : ผ่านแน่ๆ แต่ต้องห้ามประมาทคู่แข่ง
[ 3 ] กลุ่ม ไอ (บีจี ปทุม ยูไนเต็ด)
คู่ต่อสู้ : อุลซาน ฮุนได (เกาหลีใต้), คาวาซากิ ฟรนอตาเล่ (ญี่ปุ่น), ยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม (มาเลเซีย)
นี่คือกลุ่มสุดโหดของรอบแรกของศึก เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก 2023-24 เพราะมันคือการรวมยอดทีมของ 4 ประเทศ เข้ามาอยู่ด้วยกัน
อุลซาน แชมป์ลีกเกาหลีใต้ 2022 และเคยคว้าถ้วยใหญ่ของเอเชีย มาแล้ว 2 หน
ฟรอนตาเล่น อดีตแชมป์ลีกญี่ปุ่น 4 สมัย
ยะโฮร์ แชมป์ลีกมาเลเซีย 9 สมัยซ้อน และยังไม่เคยแบ่งถ้วยให้ใครในประเทศมาแล้ว 9 ฤดูกาลติดต่อกัน
บีจี ปทุม อดีตแชมป์ ไทยลีก 2020-21 ที่ทุ่มทุนมหาศาลเพื่อหวังทวงความยิ่งใหญ่กลับมาอีกครั้งในซีซั่นปัจจุบัน
แค่ดีกรีของแต่ละสโมสรก็บ่งบอกได้ถึงความเดือดที่กำลังจะปะทุในช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายนที่จะถึงนี้
เท่านั้นไม่พอ ความน่าดูของกลุ่ม ไอ นั้นมีหลายประเด็น โดยเฉพาะฝั่ง บีจี ปทุม ที่มี ชนาธิป สรงกระสินธ์ อยู่ในทีม ซึ่งเขาจะได้เผชิญหน้ากับ ฟรอนตาเล่ อดีตต้นสังกัดเก่าก่อนที่จะย้ายกลับมาค้าแข้งในเมืองไทย
ความมุ่งมั่นและตั้งใจของเพลย์เมเกอร์ชาวนครปฐม จะพุ่งสูงเป็นทวีคูณ โทษฐานที่ตนเองไม่ค่อยได้รับโอกาสจาก โทรุ โอนิกิ กุนซือ เกรมิโอ แห่งญี่ปุ่น ดังนั้นเขาจะต้องทุ่มสุดตัวเพื่อพิสูจน์ให้เห็นถึงคุณค่า โดยที่เพื่อนร่วมทีมทุกคนก็พร้อมจะช่วยให้มิดฟิลด์ทีมชาติไทย ได้เฉิดฉายแน่
นอกจากนี้ ยะโฮร์ ก็ยังมี ดีโอโก้ ลุยส์ ซานโต้ อดีตหัวหอกของ บีจี ปทุม ซึ่งตอนก่อนย้ายนั้นแยกทางกันไม่สวยนัก อยู่ในทีม แถมยังได้ เฮแบร์ตี้ ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของ ไทยลีก ไปตะบันประตูอีกต่างหาก มันจึงเป็นการรียูเนียนของทั้งคู่ที่จะได้เจอกับเพื่อนเก่าอีกครั้ง
กลุ่มนี้โอกาสเข้ารอบพอๆ กันหมด โดยที่ อุลซาน นั้นน่าจะมีภาษีดีที่สุด เนื่องจากผลงานในลีกก็นำเป็นจ่าฝูง แถมประสบการณ์ในถ้วยนี้ก็ช่ำชอง ส่วนเบอร์สองคงจะเป็น ฟรอนตาเล่ ที่อาจจะย่ำแย่ใน เจลีก (อยู่อันดับ 9) แต่ชั้นเชิงและมาตรฐานยังถือว่าสูงอยู่
ดังนั้น บีจี ปทุม และ ยะโฮร์ จึงต้องทำผลงานในบ้านตัวเองให้ดีที่สุด คืออย่างน้อยต้องมีแต้มยามเจอกับ อุลซาน หรือ ฟรอนตาเล่ แล้วค่อยไปวัดกันที่เกมเยือนที่ก็ต้องมีคะแนนกลับมาให้ได้เช่นกัน
โอกาสเข้ารอบ 16 ทีม สุดท้าย : แม้จะหนักหน่วง แต่ถ้ารักษามาตรฐานได้เหมือนเกมชนะ เซี่ยงไฮ้ พอร์ท เชื่อว่าพวกเขาน่าจะมีสิทธิ์ผ่านเข้ารอบต่อไปได้เหมือนกัน