สโมสรเอฟซี โตเกียว ที่ทำได้น่าผิดหวังในช่วงเลกแรก จากผลงานการคุมทัพของ อัลเบิร์ต พุยก์ เฮดโค้ชชาวสเปน ที่เข้ามาคุมทีมเอฟซี โตเกียว ตั้งแต่ฤดูกาล 2022 ไม่ตอบโจทย์ผู้บริหารของทีมที่ต้องการความสำเร็จมีถ้วยแชมป์ประดับสโมสร จึงทำให้เขาต้องถูกแยกทางไปในที่สุดหลังจบเลกแรก ปิดฉากคุมทีมเอฟซี โตเกียว ไว้เพียง 1 ปีครึ่งเท่านั้น
กระทั่งเมื่อวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา เอฟซี โตเกียว ประกาศแต่งตั้ง ปีเตอร์ ชคลามอฟสกี้ เทรนเนอร์ชาวออสเตรีย เข้ามาคุมทีมอย่างเป็นทางการ เพื่อกอบกู้ผลงานของทีมในช่วงครึ่งซีซั่นหลัง กับเป้าหมายก้าวไปจบพื้นที่ไปลุยถ้วยสโมสรเอเชียให้ได้
ปีเตอร์ ชคลามอฟสกี้ ออกสตาร์ตคุมทีม 2 เกม พาเอฟซี โตเกียว ชนะรวดทั้ง เปิดบ้านทุบ นาโกย่า แกรมปัส 2-0 และเกมล่าสุดเปิดรังเชือด คาชิว่า เรย์โซล 1-0 ทั้งสองเกมเก็บคลีนชีตไว้ได้ทั้งหมด ทำให้สถานการณ์ของทีมดีขึ้นขยับมารั้งที่ 11 ของตาราง มี 25 แต้ม จาก 19 นัด
กุนซือดีกรียูฟ่า โปรไลเซนส์ บนวัย 44 ปี เคยผ่านประสบการณ์คุมสโมสรในเจลีกมาแล้ว หากแฟนบอลชาวไทยจำกันได้ เขาคืออดีตเฮดโค้ชของ "มุ้ย" ธีรศิลป์ แดงดา กองหน้าทีมชาติไทย สมัยค้าแข้งกับชิมิสึ เอส-พัลส์
โดย "ชคลามอฟสกี้" ที่รับบทเป็นกุนซือใหญ่คุมสโมสรครั้งแรกในชีวิตการเป็นโค้ช คือสโมสรชิมิสึ เอส-พัลส์ เมื่อปี 2020 และเป็นปีเดียวที่ "เทพมุ้ย" ย้ายไปร่วมทัพชิมิสึ เอส-พัลส์ พอดี
โชคดีที่ "ชคลามอฟสกี้" ชื่นชอบฝีเท้าของ "มุ้ย" จึงมอบโอกาสลงเล่นในปี 2020 โดยแบ่งเป็นศึกเจลีก 24 นัด ยิงไป 3 ประตู กับ 1 แอสซิสต์ และฟุตบอลถ้วยลูวาน คัพ อีก 1 เกมด้วย
ย้อนกลับไปกว่าที่ "ชคลามอฟสกี้" จะได้โอกาสรับงานเป็นกุนซือใหญ่ เขาเคยเป็นมือขวาของ อังเก้ ปอสเตโคกลู เทรนเนอร์ป้ายแดงที่พึ่งรับงานคุมทีมท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ไปหมาด ๆ อยู่ 2 ครั้ง
ครั้งแรกคือสมัยที่ "บอสอังเก้" คุมทีมชาติออสเตรเลีย ชุดใหญ่ อยู่เมื่อปี 2017 และครั้งที่สอง "ชคลามอฟสกี้" จะมาร่วมงานกันอีกครั้งในฐานะผู้ช่วยโค้ชตอนที่ "บอสอังเก้" เข้ามาคุมทีมโยโกฮาม่า เอฟ มารินอส ในปี 2018
โดย "ชคลามอฟสกี้" เรียนรู้งานจาก "บอสอังเก้" บนเวทีเจลีก ประเทศญี่ปุ่น อยู่ 2 ฤดูกาลเต็ม กระทั่งหลังจบซีซั่น 2019 ถึงเวลาของ "ชคลามอฟสกี้" ที่ต้องก้าวไปข้างหน้าในฐานะอาชีพงานโค้ช และตัดสินใจรับงานคุมชิมิสึ เอส-พัลส์ รับบทบาทใหม่เป็นกุนซือใหญ่เต็มตัว ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา
ผลงานของ "ชคลามอฟสกี้" ตั้งแต่จับงานเฮดโค้ชใหญ่ เริ่มต้นคุมทีมชิมิสึ เอส-พัลส์ ไป 1 ฤดูกาล แต่ผลงานไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ก่อนจะไปฝึกวิชาเพิ่มลงไปคุมทีมในระดับเจลีก 2 กับสโมสรมอนเตดิโอ ยามางาตะ เมื่อปี 2021
ฤดูกาลแรกกับ มอนเตดิโอ ยามางาตะ พาทีมจบอันดับ 7 ของตาราง ด้วยสถิติ 42 นัด ชนะ 20 นัด เสมอ 8 นัด และแพ้ 14 นัด และผลงานล่าสุดเมื่อปี 2022 ที่ผ่านมา พามอนเตดิโอ ยามางาตะ จบอันดับ 6 ของตาราง ด้วยผลงาน 42 นัด ชนะ 17 นัด เสมอ 13 นัด และแพ้ 12 นัด
ก่อนที่ "ชคลามอฟสกี้" อยู่คุมทีมมอนเตดิโอ ยามางาตะ ได้ 2 ปี และจะตัดสินใจกลับคืนสู่ลีกสูงสุดแดนอาทิตย์อุทัยอีกครั้ง และรับงานคุมทัพเอฟซี โตเกียว ลุยเลกสองในที่สุด
แน่นอนว่าการมารับงานที่เอฟซี โตเกียว ถือว่ากดดันพอสมควร เพราะทีมดังแห่งกรุงโตเกียวกระหายที่อยากจะคว้าแชมป์เจลีกเป็นประวัติศาสตร์สโมสรให้ได้สักครั้ง ถึงแม้ว่าในฤดูกาลนี้แทบหมดหวังไปแล้ว แต่หาก "ชคลามอฟสกี้" ทำผลงานได้ดีในเลกที่สอง มีโอกาสที่จะอยู่คุมทัพต่อ เพื่อล่าความสำเร็จในซีซั่นหน้าก็เป็นได้
ด้วยขุมกำลังเอฟซี โตเกียว ณ ปัจจุบัน ที่มีคุณภาพให้ใช้สอยพอสมควร ไม่ว่าจะเป็น ชูโตะ อาเบะ, มาซาโตะ โมริชิเกะ, เทรุฮิโตะ นาคากาวะ, เดียโก้ โอลิเวร่า, อเดลิตัน หรือแม้แต่ ยูโตะ นากาโตโมะ แบ็กขวาจอมเก๋าวัย 36 ปี ถือว่านักเตะของเอฟซี โตเกียว ในชุดปัจจุบันแข็งแกร่งกว่าที่ "ชคลามอฟสกี้" เคยรับงานคุมทีมมาเลยทีเดียว
คงต้องมาติดตามดูกันว่า ปีเตอร์ ชคลามอฟสกี้ กุนซือวัย 44 ปีสายเลือดออสเตรเลียรายนี้ จะสามารถพาเอฟซี โตเกียว ทำผลงานในเลกสองได้ดีมากน้อยแค่ไหน และจะสามารถพาทีมคว้าโทรฟี่ในฤดูกาล 2023 มาประดับในถิ่นอายิโนะโมโตะ สเตเดี้ยม ได้หรือไม่
เพราะตอนนี้ เอฟซี โตเกียว ยังอยู่ในเส้นทางของฟุตบอลถ้วยทั้งสองรายการทั้ง เอ็มเพอเรอร์ส คัพ รอบ 32 ทีม และลูวาน คัพ รอบ 8 ทีม งานนี้เแฟนบอลเอฟซี โตเกียวชาวไทย ห้ามพลาดเด็ดขาด!
" กอล์ฟ เบนเทเก้ "