กระแสการไหลหลั่งเข้ามาค้าแข้งในเอเชีย ของผู้เล่นระดับโลกเริ่มมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลังจาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และผองเพื่อนที่ต่างก็กำลังจะไปโลดแล่นในลีกซาอุดีอาระเบีย ว่าแล้ว 'SIAMSPORT' จึงคัดสรรอดีตดาวดังของวงการฟุตบอลที่เคยมาเขย่าทวีปนี้!!
[ 1 ] ร็อบบี้ ฟาวเลอร์
สโมสรในเอเชีย: นอร์ธ ควีนส์แลนด์ ฟิวรี่ (ออสเตรเลีย), เพิร์ธ กลอรี่ (ออสเตรเลีย), เมืองทอง ยูไนเต็ด (ไทย)
ตำนานศูนย์หน้า ลิเวอร์พูล ผู้มีเท้าซ้ายสุดฉมัง และเป็นนักเตะที่เหล่า เดอะ ค็อป ขนานนามว่า 'ก็อด' ซึ่งบ่งบอกได้อย่างดีถึงความยิ่งใหญ่ของ ฟาวเลอร์ ที่มีต่อสาวกหงส์แดง
ทุกวันนี้เขาคือเจ้าของสถิติ 'ยิงประตู' ใน พรีเมียร์ลีก ได้มากที่สุดเป็นอันดับ 8 ด้วยตัวเลข 163 ประตู จาก 379 เกม
ฟาวเลอร์ ย้ายมาโลดแล่นบนแผ่นดินเอเชีย เมื่อปี 2009 โดยสถานีแรกคือประเทศออสเตรเลีย กับ นอร์ธ ควีนส์แลนด์ ฟิวรี่ ตามต่อด้วย เพิร์ธ กลอรี่
กระทั่งวันที่ 7 กรกฎาคม 2011 ทั่วทั้งวงการลูกหนังโลกต้องเหลียวมองมายังสยามประเทศ กับการเซ็นสัญญาประวัติศาสตร์ที่ เมืองทอง ยูไนเต็ด คว้าศูนย์หน้าทีมชาติอังกฤษ มาเล่นใน ไทยลีก ซึ่งนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฟุตบอลบ้านเราตื่นตัวและทำให้ผู้เล่นฝีเท้าดีทยอยกันย้ายสู่ที่นี่ จนยกระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ ถึงปัจจุบัน
__________
[ 2 ] ฮัลค์
สโมสรในเอเชีย: คาวาซากิ ฟรอนตาเล่ (ญี่ปุ่น), คอนซาโดเล่ ซัปโปโร (ญี่ปุ่น), โตเกียว เวอร์ดี้ (ญี่ปุ่น), เซี่ยงไฮ้ เอสไอพีจี (จีน)
จิวานิลโด้ วิเอยร่า เดอ โซซ่า หรือที่รู้จักกันในชื่อ 'ฮัลค์' ดาวยิงทีมชาติบราซิล ผู้ติดธงมากถึง 49 นัด ซึ่งเป็นตัวเลขที่บ่งบอกได้ชัดเจนว่าเขาคือนักเตะประเภท 'ของจริง'
อย่างไรก็ตาม ก่อนจะโด่งดังสุดขีดกับ ปอร์โต้ และไปต่อที่ เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก เขาเคยค้าแข้งในญี่ปุ่น อยู่ 4 ปี ซึ่งเป็นสโมสรที่ชาวไทย รู้จักดีอย่าง คาวาซากิ ฟรอนตาเล่ และ คอนซาโดเล่ ซัปโปโร
ฮัลค์ ผจญภัยและประสบความสำเร็จอย่างสูงในยุโรป จนก้าวไปเป็นตัวหลักของทีมชาติบราซิล ทำให้ได้รับความสนใจจากสโมสรใหญ่มากมาย แต่เขาเลือกที่จะกลับมาเอเชีย อีกครั้งในปี 2016 โดยคราวนี้โยกสู่ลีกจีน กับ เซี่ยงไฮ้ เอสไอพีจี ด้วยค่าตัว 56 ล้านยูโร (ประมาณ 2,100 ล้านบาท)
เขาพาทีมคว้าแชมป์ ไชนีส ซูเปอร์ ลีก ด้วยการล้ม กว่างโจว เอเวอร์แกรนด์ สโมสรดังที่ผูกขาดถ้วยรางวัลมานานปี แล้วเพิ่งย้ายกลับไปค้าแข้งในบ้านเกิดเมื่อปี 2021 ที่ผ่านมา
__________
[ 3 ] แกรี่ ลินิเกอร์
สโมสรในเอเชีย: นาโกย่า แกรมปัส เอต (ญี่ปุ่น)
เจ้าของสถิติทำสกอร์ให้ทีมชาติอังกฤษ มากที่สุดเป็นอันดับที่ 4 กับตัวเลข 48 ประตู อีกทั้งยังเป็นนักเตะอิงลิช ที่ไปโด่งดังในการเล่นในสเปน กับ บาร์เซโลน่า ที่ได้สัมผัสถ้วย คัพ วินเนอร์ส คัพ เมื่อปี 1989
ลินิเกอร์ คือศูนย์หน้าที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงในยุค 80' ต่อถึง 90' กับผลงานการผลิตสกอร์สม่ำเสมอทั้งสโมสรและทีมชาติ อีกทั้งยังไม่เคยได้รับใบเหลืองจากผู้ตัดสินแม้แต่ครั้งเดียวในชีวิต จนถูกแฟนฟุตบอลตั้งฉายาว่า 'มิสเตอร์ ไนซ์ กาย'
ด้วยชื่อเสียงระดับโลก แต่แล้วปลายปี 1991 สื่อทุกสำนักต้องละเลงข่าวการตัดสินใจย้ายไป เจลีก เพราะห้วงเวลานั้น แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ที่กำลังสร้างทีมก็ต้องการลายเซ็นของ ลินิเกอร์ เช่นกัน แต่เจ้าตัวเลือกที่จะมาเล่นให้ นาโกย่า แกรมปัส เอต
ในวัย 32 เขาได้รับสัญญา 2 ปี กับทีมโลมาพิฆาต และก็อยู่จนครบเทอม แต่ด้วยความที่มีอาการบาดเจ็บรบกวน จึงตัดสินใจแขวนสตั๊ดที่นี่เลย
__________
[ 4 ] อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่
สโมสรในเอเชีย: ซิดนี่ย์ เอฟซี (ออสเตรเลีย), เดห์ลี ไดนาโมส์ (อินเดีย)
ยอดนักเตะระดับตำนาน ยูเวนตุส ผู้มีส่วนร่วมกับแชมป์โลกของทีมชาติอิตาลี เมื่อปี 2006 ที่มาพร้อมสไตล์การเล่นอันงดงามราวกับชมงานศิลปะอยู่บนฟลอร์หญ้า จนได้รับเลือกจาก เปเล่ ให้ติดใน 125 รายชื่อแข้งที่เก่งกาจที่สุดตลอดกาล
เดล ปิเอโร่ คือหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดในยุคของเขา กับการโลดแล่นในเวทียุโรปยาวนานเกินกว่า 20 ซีซั่น แถมยังได้รับการยกย่องถึงเรื่องหัวใจ เพราะตอนที่ทีมม้าลายแห่งตูริน ต้องหล่นสู่ เซเรีย บี หมอนี่ก็ไม่ยอมย้ายหนีไปไหน หากแต่อยู่ช่วยสโมสรจนกลับสู่ความยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ
กระทั่งปี 2012 ไม่มีใครคาดคิดว่าแนวรุกหมายเลข 10 ของ ยูเวนตุส จะตัดสินใจย้ายมาเล่นในลีกออสเตรเลีย กับ ซิดนี่ย์ เอฟซี และพอหมดสัญญาในปี 2014 ก็เกือบจะย้ายมาเล่นในเมืองไทย อยู่แล้ว แต่ติดที่ตกลงเรื่องรายละเอียดส่วนตัวไม่ได้
สุดท้าย เดล ปิเอโร่ โยกสู่ เดห์ลี ไดนาโมส์ สโมสรของอินเดีย และก็แขวนสตั๊ดที่นั่นหลังจบซีซั่น 2014
__________
[ 5 ] เฟร์นานโด ตอร์เรส
สโมสรในเอเชีย: ซางัน โทสุ (ญี่ปุ่น)
อีกหนึ่งศูนย์หน้าขวัญใจสาวกหงส์แดงกับ 4 ฤดูกาลอันน่าจดจำในฐานะคู่หูของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ที่อาจจะไม่มีแชมป์ติดมือ แต่ภาพจำของแฟนๆ ยกให้ ตอร์เรส เป็นหนึ่งในหัวหอกที่ดีที่สุดของสโมสร
แม้ว่าถ้วยรางวัลในระดับสโมสรจะมีไม่มากนัก แต่สำหรับทีมชาติ เขาคือหนึ่งในขุนพลสเปน ชุดแชมป์ ยูโร 2008 และ 2012 อีกทั้งยังผงาดคว้าแชมป์โลก 2010
โดยเฉพาะ ยูโร 2008 ที่ ตอร์เรส เป็นผู้ทำประตูชัยให้ทัพกระทิงดุเฉือนชนะเยอรมัน 1-0 ซึ่งนั่นคือจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา
เขาย้ายไป เชลซี และไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าที่ควร จนถูกปล่อยให้ เอซี มิลาน ยืมตัว กระทั่งกลับสู่ แอตเลติโก มาดริด สโมสรแรกของตนเอง อย่างไรก็ตาม พอถึงปี 2018 ทั่วทั้งปฐพีลูกหนังก็ต้องฮือฮา เพราะว่า ตอร์เรส ย้ายไป ซางัน โทสุ ทีมระดับกลางๆ ของ เจลีก
ดาวยิงทีมชาติสเปน อยู่ที่ญี่ปุ่น ได้ 2 ซีซั่น ก่อนจะแขวนสตั๊ดในปี 2019 ซึ่งเกมสุดท้ายในชีวิตนักเตะ เขาได้เผชิญหน้ากับ อันเดรียส อีเนียสต้า และ ดาบิด บีย่า สองเพื่อนร่วมชาติที่เล่นให้ วิสเซล โกเบ
__________
[ 6 ] ดุงก้า
สโมสรในเอเชีย: จูบิโล่ อิวาตะ (ญี่ปุ่น)
อดีตกองกลางตัวรับผู้รับใช้ทีมชาติบราซิล มากว่า 91 นัด อีกทั้งยังเป็นกัปตันชุดแชมป์โลก 1994 ที่มีซูเปอร์สตาร์ในชุดนั้นอย่าง โรมาริโอ้, เบเบโต้, ไร และ จอร์จินโญ่
ดุงก้า ค้าแข้งในยุโรป ตั้งแต่ปี 1987 และอยู่ยาวถึง 1995 ก่อนจะย้ายซบ จูบิโล่ อิวาตะ แบบสุดเซอร์ไพรส์ เพราะนั่นคือช่วงหลังจากที่ตนเองเพิ่งชูถ้วย เวิร์ล คัพ ฉบับอเมริกา
ในวัย 32 เขาพา จูบิโล่ คว้าแชมป์ เจลีก ในปี 1997 และก็เป็นผู้เล่นหลักให้ทีมตลอดระยะเวลา 4 ฤดูกาลที่ญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจให้เยาวชนชาวอาทิตย์อุทัยหันมาสนใจกีฬาลูกหนังมากขึ้น
พอแขวนสตั๊ดในปี 2000 เขาผันตัวเองสู่งานโค้ช และก็ได้เป็นกุนซือทีมชาติบราซิล ถึง 2 ช่วงเวลา โดยหนแรกเป็นปี 2006-2010 และ 2014-2016
__________
[ 7 ] อันเดรส อิเนียสตา
สโมสรในเอเชีย: วิสเซล โกเบ (ญี่ปุ่น)
หนึ่งในกองกลางที่เก่งที่สุดเท่าที่โลกฟุตบอลเคยมีมา กับการฟาดแชมป์มากมายร่วมกับ บาร์เซโลน่า และทีมชาติสเปน ไม่มีโทรฟี่ใดในปฐพีที่ อีเนี้ยสต้า ไม่เคยสัมผัส ยกเว้นเพียง เจลีก เท่านั้นที่เขาไปไม่ถึงฝั่งฝัน
มิดฟิลด์สมองใสเติบใหญ่มากับบาร์ซ่าและใช้ชีวิตภายใต้ชายคา คัมป์ นู นานถึง 22 ปี ก่อนจะอำลาสโมสรเพื่อมาหาความท้าทายใหม่ที่ญี่ปุ่น
ตอนเขาบินสู่สนามบินนาริตะ เจ้าตัวอายุ 34 ปี ซึ่งถือเป็นช่วงปลายของอาชีพค้าแข้ง แต่ใครจะเชื่อว่าพี่แกกลับฟิตปั๋ง เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมกับ วิสเซล โกเบ ยาวถึง 5 ซีซั่น และเพิ่งจะประกาศอำลา เจลีก ไปเมื่อไม่นานนี้ แถมบอกอีกว่ายังไม่คิดจะแขวนสตั๊ดในเร็ววันนี้
ปัจจุบัน อิเนียสต้า อายุ 39 และน่าสนใจว่าก้าวเดินต่อไปของเขาจะยุติบทบาทนักฟุตบอลที่ใด
__________
[ 8 ] ฟาบิโอ คันนาวาโร่
สโมสรในเอเชีย: อัล-อาห์ลี (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์)
เจ้าของ บัลลง ดอร์ หลังพาทีมชาติอิตาลี คว้าแชมป์ เวิร์ล คัพ 2006 จากฟอร์มอันโดดเด่นตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ที่เยอรมัน ทั้งยังเป็นกัปตันอีกต่างหาก
คันนาวาโร่ คือเซนเตอร์ฮาล์ฟที่เก่งกาจและได้รับการยอมรับจากเพื่อนนักฟุตบอลด้วยกัน แม้ว่าจะสูงเพียง 1.76 เมตร ซึ่งถือว่าเสียเปรียบบรรดากองหน้าฝั่งตรงข้ามมากๆ แต่เขากลับสามารถยืนหยัดในเวทียุโรป ได้นานหลายสิบปี ด้วยฟอร์มการเล่นที่สม่ำเสมอ ทั้งกับ ปาร์ม่า, อินเตอร์ มิลาน, ยูเวนตุส รวมไปถึง เรอัล มาดริด
พอหมดฟุตบอลโลก 2010 เขาย้ายไปลีกสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อร่วมทัพ ชาบ๊าบ อัล-อาห์ลี สโมสรใหญ่ของที่นั่น ด้วยสัญญา 2 ปี แต่เล่นได้แค่ซีซั่นเดียว เพราะได้รับบาดเจ็บหัวเข่าเรื้อรัง จนแพทย์แนะนำว่าให้เลิก และนั่นเป็นเหตุให้เจ้าตัวแขวนสตั๊ดในปี 2011
อย่างไรก็ตาม คันนาวาโร่ ยังอยู่ในละแวกเอเชีย โดยเปลี่ยนบทบาทเป็นโค้ช ซึ่งก็ได้คุมหลายสโมสรเสียด้วย ไล่ตั้งแต่ กว่างโจว เอเวอร์แกรนด์ (จีน), อัล-นาสเซอร์ (ซาอุดีอาระเบีย), เทียนจิน เทียไห (จีน) และรวมไปถึงทีมชาติจีน ในช่วงสั้นๆ กระทั่งกลับอิตาลี ในปี 2022
__________
[ 9 ] ชาบี
สโมสรในเอเชีย: อัล ซ๊าดด์ (กาตาร์)
ในสมัยเป็นนักฟุตบอล นอกจากจะถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในกองกลางที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก เขายังได้แชมป์ทุกถ้วยร่วมกับ บาร์เซโลน่า และทีมชาติสเปน เรียกได้ว่าอยู่ที่ไหน ที่นั่นคือมีโทรฟี่แน่ๆ
ชาบี เป็นนักเตะฝึกหัดของบาร์ซ่า อยู่กับสโมสรตั้งแต่ตนเองอายุเพียง 5 ขวบ กระทั่งขึ้นสู่ชุดใหญ่ และก้าวสู่การเป็นตำนานของทัพอาซูลกราน่าส์ ก่อนจะโบกมืออำลาทีมในปี 2015 เพื่อไปหาความท้าทายใหม่ในลีกเอเชีย
อัล ซ๊าดด์ คือสถานีปลายทางของมิดฟิลด์จากแคว้นกาตาลัน พร้อมสัญญา 3 ปี ทั้งยังถูกแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมอีกต่างหาก แต่กว่าจะได้แชมป์ลีก ก็ต้องรอถึงฤดูกาล 2018-19 ถึงจะได้สัมผัสโทรฟี่ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่กาตาร์ เขาทำไป 23 ประตู กับอีก 27 แอสซิสต์ จาก 97 เกม
พอหมดสัญญา ชาบี ก็เริ่มต้นงานกุนซือกับ อัล ซ๊าดด์ นั่นแหละ และก็ไปได้สวย เพราะได้ถ้วยรางวัลมากมาย ก่อนจะถูกดึงตัวกลับมากอบกู้ บาร์เซโลน่า ในปัจจุบัน
__________
[ 10 ] ซิโก้
สโมสรในเอเชีย: คาชิม่า แอนท์เลอร์ส (ญี่ปุ่น)
อาร์ตูร์ อันตูเนส โคอิมบรา หรือที่ทั่วทั้งโลกรู้จักกันในชื่อ 'ซิโก้' ตำนานนักเตะบราซิล ผู้ประสบความสำเร็จในระดับสโมสร แต่น่าเสียได้ที่ในนามทีมชาติที่ตัวเองร่ายมนต์สะกดแฟนลูกหนังเสียอยู่หมัด ทว่ากลับไปไม่ถึงดวงดาวอย่างที่คาดหวัง
ความเก่งกาจของเขานั้นถูกยกไปเทียบเคียงกับ เปเล่ จนเปรียบเปรยว่า ซิโก้ เป็น 'เปเล่ขาว' แถมยังเป็นผู้พา ฟลาแมงโก้ คว้าถ้วยรางวัลได้มากมาย โดยเฉพาะปี 1981 ที่ฟาด 'เทรเบิ้ลแชมป์' ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ โคปา ลิเบอร์ตาดอเรส หรือศึกชิงแชมป์สโมสรอเมริกาใต้ นั่นเอง
ซิโก้ ย้ายมายุโรป สั้นๆ ระหว่างปี 1983-1985 โดยเล่นให้ อูดิเนเซ่ ก่อนจะกลับ ฟลามิงโก้ และแขวนสตั๊ดหลังจบฤดูกาล 1989
อย่างไรก็ตาม หลังการประกาศเลิกเล่นฟุตบอลได้ราวๆ 2 ปี (1991) เขาได้รับภารกิจจากรัฐบาลบราซิล ให้กลับมาสวมรองเท้าอีกครั้ง เพื่อเชื่อมสัมพันธ์อันดีกับญี่ปุ่น ซึ่งเวลานั้นพี่แกอายุ 38 ไปแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยินดีที่จะไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ในชีวิต
กระทั่ง เจลีก ก่อตั้งอย่างเป็นทางการในปี 1992 โดย ซิโก้ มาเล่นกับ ซูมิโตโมะ เมทัลส์ (คาชิม่า แอนท์เลอร์ส ในปัจจุบัน) และก็พาทีมเลื่อนชั้นจากลีกรองสู่ลีกสูงสุด แถมพอขึ้นมาปีแรก เขาก็ซัดแฮตทริกได้ทันทีในเกมเปิดฤดูกาล
จากผลงานอันเอกอุของ ซิโก้ ที่ไปเปิดมิติใหม่ในญี่ปุ่น เขากลายเป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนที่นั่น จนทุกวันนี้ทัพ เดอะ บลู ซามูไร กลายเป็นทีมที่ไม่มีชาติใดกล้าประมาทเป็นอันขาด
__________