13 ปี ชินจิ คากาวะ กับการทำให้ยุโรปต้องโค้งคารวะ

13 ปี ชินจิ คากาวะ กับการทำให้ยุโรปต้องโค้งคารวะ
ย้อนเวลากลับไปราวๆ 20 ปี ก่อนหน้านี้ หรือยุค Y2K ที่กำลังเป็นกระพัดผ่านพ้นถึงปัจจุบัน - นักฟุตบอลชาวเอเชีย ยังไม่เป็นที่ยอมรับในตลาดยุโรป เท่าใดนัก ด้วยมาตรฐานที่ต่ำกว่า สรีระที่เล็กกว่า และอะไรหลายๆ สิ่งที่ถูกมองว่าด้อยกว่า ทำให้โอกาสที่ผู้เล่นจากโลกตะวันออกจะไปเฉิดฉายที่นั่นแทบจะถูกปิดไปทันที

   กระทั่ง ฮิเดโตชิ นากาตะ กองกลางสัญชาติญี่ปุ่น ไปได้ดีกับ เปรูจา ก่อนจะคว้า สคูเด็ตโต้ ร่วมกับ โรม่า และสตาร์ดังอย่าง ฟรานเชสโก้ ต็อตติ, กาเบรียล บาติสตูต้า, คาฟู, วอลเตอร์ ซามูเอล รวมไปถึงคนอื่นๆ ในทัพหมาป่าแห่งกรุงโรม

   นับแต่นั้นเป็นต้นมา แข้งจากเอเชีย ก็เริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้นที่ยุโรป และเยาวชนในทวีปต่างก็ได้รับแรงบันดาลใจที่จะเดินตามล่าฝันที่ยิ่งใหญ่

   จากนั้น อาลี ดาอี, ชุนซูเกะ นากามูระ, เคซึเกะ ฮอนดะ, พาร์ค ชี-ซอง และคนอื่นๆ ก็ค่อยๆ สานต่อ

   พวกเขาเหล่านี้พิสูจน์ในคำดูถูกว่านักเตะเอเชีย ไม่สามารถก้าวข้ามสู่ตลาดโลกได้หรอก ด้วยการแสดงผลงานของตนเองด้วยความมานะอดทนจนชนะใจแฟนฟุตบอลหลายๆ ประเทศ

   ชินจิ คากาวะ ก็เป็นอีกหนึ่งผู้เล่นที่สร้างปรากฏการณ์จนคนยุโรป ต่างต้องโค้งคารวะ

   เด็กหนุ่มจากเมืองโกเบ เริ่มต้นเส้นทางลูกหนังกับ เซเรโซ่ โอซาก้า สโมสรชั้นนำของ เจลีก ซึ่งตอนที่เซ็นสัญญาหนแรก เขายังเรียนไม่จบมัธยมเลยด้วยซ้ำ ทำให้เป็นนักเตะญี่ปุ่น คนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้สัญญาอาชีพ

   ผลงานกับทีมซากูระเด่นสง่าจนเตะตา เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือของ ดอร์ทมุนด์ ในขณะนั้น ทำให้เขาได้ย้ายไปร่วมทัพเสือเหลืองในฤดูกาล 2010-11 

   เพียงซีซั่นแรกในต่างแดน คากาวะ ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ ดอร์ทมุนด์ คว้าแชมป์ บุนเดสลีกา มาครองได้สำเร็จ ก่อนที่ฤดูกาลถัดมาจะได้ซ้ำเป็นครั้งที่สองติดต่อกัน

   ผลงานของเขากับทีมเสือเหลืองทำให้ทั่วโลกยอมรับในความเก่งกาจของนักเตะญี่ปุ่น โดยดุษฎี

   ครองบอลเหนียวแน่น, เล่นน้อยจังหวะ, จ่ายเฉียบ, หาพื้นที่ในกรอบเขตโทษดี, เซ้นส์ลูกหนังเหลือร้ายและยังเป็นนักฟุตบอลที่ใช้สมองสั่งการเป็นหลัก นั่นคือคำนิยามเกี่ยวกับ คากาวะ ที่แฟนๆ ได้เห็นในทุกๆ สัปดาห์

   ด้วยฟอร์มกระฉูดแตกกับเสือเหลือง ส่งผลให้ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรอันดับหนึ่งของอังกฤษ (ณ ขณะนั้น) มาทาบทามเพลย์เมเกอร์ทีมชาติญี่ปุ่น ไปร่วมทัพ และทุกอย่างก็ตกลงด้วยสนนราคา 16 ล้านปอนด์ 

   คากาวะ ในฐานะนักเตะญี่ปุ่น คนแรกในประวัติศาสตร์ปีศาจแดง ทำให้เขาถูกคาดหวังว่าจะมาสานต่อความยิ่งใหญ่ต่อจาก พาร์ค ชี-ซอง อดีตผู้เล่นชาวเกาหลีใต้ ผู้เป็นที่รักของแฟนๆ กับการนำโทรฟี่มากมายมุ่งหน้าสู่ โอลด์ แทร็ฟฟฟอร์ด

   เช่นเดียวกันกับเซอร์อเล็กซ์ ที่ออกมาชื่นชมลูกทีมเลือดบูชิโดคนนี้ผ่านสื่ออยู่บ่อยๆ 

   การมาของเขาสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในตลาดเอเชีย เนื่องจาก ยูไนเต็ด เป็นสโมสรที่ผู้คนจากดินแดนตะวันออกติดตามกันมากมาย ไม่เพียงแค่ในญี่ปุ่น หากแต่รวมถึงเมืองไทย ที่แฟนๆ ต่างแห่แหนไปซื้อเสื้อแล้วติดชื่อ คากาวะ พร้อมด้วยเบอร์ 26 ที่เจ้าตัวสวมใส่

   แม้จะไม่เจิดจรัสเท่ากับสมัยเล่นให้ ดอร์ทมุนด์ แต่เขาก็มีแชมป์ พรีเมียร์ลีก 2012-13 มาประดับบารมี พร้อมกับยังจารึกสถิตนักเตะเอเชีย คนแรกที่ทำ 'แฮตทริก' ได้ในลีกอังกฤษ

   อย่างไรก็ตาม การที่เซอร์อเล็กซ์ วางมือจากวงการลูกหนัง ทำให้ คากาวะ พบจุดเปลี่ยนในทันที เพราะเฮดโค้ชเลือดสกอตต์ ให้ความเชื่อมั่นในตัวลูกทีมคนนี้แบบสุดลิ่ม แตกต่างกับ 'เดอะ โชเซ่น วัน' เดวิด มอยส์ ผู้มารับช่วงต่อ รวมไปถึง ไรอัน กิ๊กส์ และ หลุยส์ ฟาน กาล

   มิดฟิลด์ชาวอาทิตย์อุทัยค่อยๆ กลายเป็นส่วนเกินของ ยูไนเต็ด ในยุคหลังการคุมทัพของเซอร์อเล็กซ์ บวกกับอาการบาดเจ็บที่แวะเวียนมารบกวนอยู่เนืองๆ ทำให้ย้ายกลับไป ดอร์ทมุนด์ อีกครั้งตอนซีซั่น 2014-15

   เขายังได้ร่วมงานกับ คล็อปป์ อีกหน ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น โธมัส ทูเคิ่ล ในเวลาต่อมา ซึ่งทั้งสองกุนซือต่างก็เชื่อมั่นในตัว คากาวะ เช่นกัน 

   แต่พอโค้ชของเสือเหลืองเปลี่ยนมาเป็น ปีเตอร์ บอสซ์ - ชีวิตของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกรอบ 

   คากาวะ ถูกลดบทบาทลง แถมการที่มีอาการบาดเจ็บรบกวน ทำให้เขาต้องถูกส่งไปให้ เบซิคตัส ยืมตัวในฤดูกาล 2018-19 

   ที่ตุรกี สถานการณ์ของเขาก็ยังไม่ดีขึ้น เพราะมีโอกาสลงเล่นเป็นตัวจริงเพียง 4 นัดเท่านั้น ก่อนจะถูกปล่อยไปให้ เรอัล ซาราโกซ่า ซึ่งอยู่ เซกุนด้า เบ ของสเปน (ดิวิชั่น 2) ในซีซั่น 2019-20

   จอมทัพเลือดซามูไรเซ็นสัญญา 2 ปีกับ โลส มาโนส พร้อมถูกคาดหวังว่าจะเข้ามาช่วยให้ทีมกลับคืนสู่ ลา ลีกา อีกครั้ง

   แม้จะเป็นตัวหลัก และมีส่วนร่วมถึง 36 เกม กับทำไปอีก 4 ประตู แต่มันไม่เพียงพอที่จะทำให้ ซาราโกซ่า พุ่งชนเป้าหมายที่ตั้งไว้ บวกกับค่าจ้างที่แสนแพง นั่นเป็นเหตุให้สุดท้ายทั้งสองฝ่ายต้องแยกทางกันในที่สุด

   คากาวะ กลายเป็นนักเตะ 'ฟรีเอเย่นต์' ในวัยเพียง 31 ปี และว่างงานอยู่นานกว่า 4 เดือน กว่าจะได้ต้นสังกัดใหม่ก็รอไปถึงมกราคม 2021 ที่เซ็นกับ พีเอโอเค สโมสรชั้นนำของลีกกรีซ

   แต่ด้วยปัญหาบาดเจ็บที่มีไม่หยุดสิ้น เขาได้ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงเพียง 3 นัด และมีส่วนร่วมกับทีมแค่ 12 เกม จนในที่สุดต้องยกเลิกสัญญาด้วยความยินยอมทั้งสองฝ่ายในช่วงกลางเดือนธันวาคม 20221

   แม้จะไม่สามารถสลัดปัญหาบาดเจ็บที่มากวนใจอยู่เสมอ แต่เขายังปรารถนาที่จะโลดแล่นในเวทียุโรป ต่อไป และนั่นทำให้ คากาวะ ไปต่อที่ แซงต์-ทรุยด็อง สโมสรในลีกสูงสุดเบลเยียม เมื่อต้นปี 2022

   อย่างไรก็ตาม ที่นี่เขาก็ยังไม่ได้เล่นสม่ำเสมอ เนื่องจากเรื่องเดิมๆ - เขาลงเล่นไปเพียง 12 เกม และทำได้แค่ 2 ประตู จนต้องแยกย้ายกันอีกครั้ง

   กระทั่ง 1 กุมภาพันธ์ 2023 เซเรโซ่ ได้ออกแถลงการณ์ว่าจัดการเซ็นสัญญาคว้าตัว คากาวะ กลับมาร่วมทัพอีกครั้ง เป็นการปิดฉากการเดินทางอันแสนยาวนานกว่า 13 ปี ในเวทียุโรป ของมิดฟิลด์อัจฉริยะผู้นี้

   บนขวบปีที่ 33 ของชีวิต เขายังมีไฟที่จะเล่นฟุตบอลต่อไปด้วยใจรัก แม้ร่างกายจะไม่เอื้ออำนวยเหมือนเก่าก่อน แต่สิ่งที่นักเตะชาวญี่ปุ่น ได้สร้างไว้บนแผ่นดินยุโรป นั่นคือการ 'เป็นที่ยอมรับ' ในวงกว้าง

   ทุกวันนี้ไม่มีใครกล้าดูแคลนผู้เล่นตาสองชั้นหรือบรรดาแข้งหนวดเข้มจากเอเชีย เพราะการที่รุ่นพี่ได้บุกเบิกด้วยความบากบั่นนั้นประสบผลสำเร็จอย่างสวยงาม

   ชื่อของเขาจะถูกจัดบันทึกอยู่ในหมวด 'ตำนาน' เฉกเช่น นากาตะ, ดาอี, ชี-ซอง และคนอื่นๆ ที่จะตามมาอีกในอนาคตข้างหน้า

   ชินจิ คากาวะ...


ที่มาของภาพ : gettyimages
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport