REMONTADA (เรมอนตาด้า) คำนี้น่าจะเป็นคำที่ถูกหยิบมาใช้มากที่สุดในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมากับสถานการณ์ของ เรอัล มาดริด ใน แชมเปี้ยนส์ลีก หลังแพ้ยับเยินต่อ อาร์เซน่อล ที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม 0-3
หลังจบเกม นอกจากยอมรับว่าเล่นกันแย่ และ อาร์เซน่อล คือทีมที่ดีกว่าแล้ว สิ่งนึงที่นักเตะมาดริดหลายคนรวมถึงตัวกุนซืออย่าง คาร์โล อันเชล็อตติ พูดทิ้งท้ายไว้ก่อนออกจากลอนดอนก็คือ "หากจะมีทีมไหนที่ทำสำเร็จ ก็เห็นจะเป็น เรอัล มาดริด นี่แหละ"
ตามหลัง 0-3 เป็นสกอร์ห่างมาก และการจะ Remontada หรือพลิกสถานการณ์จากพ่ายแพ้สู่ชัยชนะในรายการที่เขี้ยวลากดินอย่าง แชมเปี้ยนส์ลีก และเหนือทีมอย่าง อาร์เซน่อล นั้นยิ่งยากขึ้นอีกหลายเท่า
อันเชล็อตติ ให้สัมภาษณ์ก่อนเกมที่ เบร์นาเบว ชื่นชม อาร์เซน่อล ว่าเป็นทีมที่มีระบบการจัดการที่ดี มีไอเดียการเล่นที่ชัดเจน ทั้งยังมีสมาธิต่อสิ่งที่ต้องการทำสูง ถึงแม้จะมีประสบการณ์จะไม่มากก็ตาม
ต่อมุมมองในเกมคืนนี้ นักข่าวตั้งคำถามว่า "ประตูแรกของ มาดริด ควรมาให้เร็วที่สุดหรือเปล่า ?"
คาร์เล็ตโต้ ตอบกลับว่า ถ้ามาได้ก็เป็นเรื่องดี แต่สิ่งสำคัญกว่าคือ มาดริด จะต้องเป็นฝ่ายควบคุมคอนโทรลเกมนี้ให้ได้ ถ้าทำได้ ไม่ว่าเวลาไหนก็สามารถยิงประตูได้
คาร์เล็ตโต้ ให้ความสำคัญกับเรื่องการคอนโทรลเกม ส่วน จู๊ด เบลลิ่งแฮม ที่นั่งแถลงด้วย ยอมรับว่าคงต้องวิ่งให้มากขึ้น หลังเกมแรกวิ่งน้อยกว่าทีมของ มิเกล อาร์เตต้า ถึง 12.5 กิโลเมตร
จริงอยู่ว่าปีที่แล้วที่ มาดริด คว้าแชมป์พวกเขาก็ไม่ใช่ทีมที่วิ่งเยอะอะไร กระนั้นในทางสถิติถึงวิ่งน้อยกว่าแต่ก็ไม่ได้น้อยกว่าอย่างมีนัยยะสำคัญเหมือนเกมล่าสุดที่เล่นกับ อาร์เซน่อล
จู๊ด ยอมรับว่ายังไงทีมก็ต้องวิ่งให้มากขึ้น เพราะการวิ่งจะช่วยสร้างโอกาสและมีผลต่อเกมการเล่น กระนั้นก็ต้องอยู่ในข้อแม้ที่ว่า ต้องเข้าใจด้วยว่าวิ่งทำไม วิ่งตอนไหน ไม่ใช่สักแต่วิ่ง
"การวิ่งจากฝากนึงของสนามไปอีกฝากนึงนั้น สำคัญที่สุดคือคุณต้องเข้าใจว่าทำแบบนั้นตอนไหน" มิดฟิลด์อังกฤษบอกกับนักข่าว
ผมเชื่อว่า จู๊ด เอง หรือกับเพื่อนคนอื่นๆในทีมมาดริดต่างก็รู้ดีว่าเกมนี้ ไม่วิ่งไม่ได้ ไม่ขยันเท่ากับตกรอบ เพียงแต่ต้องวิ่งอย่างมีแบบแผน
แล้วแผนการในคืนนี้ล่ะ ?
ตรงนี้ อันเชล็อตติ ไม่ได้ลงลึกรายละเอียด เพียงกล่าวว่าจะต้องทำให้ดีขึ้นในทุกมิติ
ส่วนตัวผมมองว่า ลำพังจังหวะฝีมือไม่พอแน่ มาดริด ต้องบีบไม่ให้ อาร์เซน่อล เล่นง่าย พยายามกดดันให้ผู้มาเยือนเกิดความผิดพลาด
ตัวอย่างไม่ต้องมองไกล อย่างที่ ดอร์ทมุนด์ ทำกับ บาร์เซโลน่า ที่ ซิกนัลด์ เอดูน่า พาร์ค นั่นแหละครับ
ตั้งแต่นกหวีดดังปรี๊ดแรก เสือเหลือง ก็สลัดความกลัวขึ้นไปไล่ล่าถึงแดนแรกของ บาร์ซ่า เลย สร้างความกดดัน บีบไม่ให้มีเวลาคิด ถึงเนื้อถึงตัวในทุกจังหวะ
การเล่นแบบนี้จะช่วย มาดริด ได้แน่ แต่ข้อเสียคือใช้พลังเยอะ ซึ่งสภาพร่างกายของนักเตะมาดริด เท่าที่ฟังจากบทสัมภาษณ์ของ จู๊ด นั้น จับใจความได้ว่า มีปัญหาสะสมมา 2-3 เดือนแล้ว
กล่าวคือ ทีมไม่ค่อยฟิตเต็มร้อย ซึ่งตรงนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไดนามิกในเกมของพวกเขาลดลง เทมโป้ก็ช้าลง และเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ยากขึ้นในแต่ละเกม
สิ่งที่สะท้อนออกมาก็คือผลการแข่งขันในช่วง 2-3 เดือนหลัง
11 เกมติดต่อกันแล้วที่ มาดริด ไม่ชนะคู่ต่อสู้ด้วยระยะห่าง 2 ประตู หนสุดท้ายคือชนะ จีโรน่า 2-0 เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์
และยิ่งในข้อแม้ว่าต้องชนะ อาร์เซน่อล ด้วยระยะห่าง 3 ประตูเป็นอย่างน้อย สกอร์นี้เกิดขึ้นหนสุดท้ายเมื่อ 18 เกมที่แล้ว ในนัดชนะ แบรสต์ 3-0 เมื่อวันพุธที่ 29 มกราคม
นอกนั้นในเกมที่ชนะ มาดริด ทำได้เหนือกว่าคู่ต่อสู้เพียงแค่ประตูเดียวเท่านั้น
ทั้งนี้การเพรสซิ่งเร็ว ไล่บีบคู่ต่อสู้แดนบน นอกจากใช้พลังงานเยอะแล้ว ซึ่งสภาพร่างกายของนักเตะมาดริดยังเป็นเครื่องหมายคำถาม ในเชิงแท็คติก การโอเวอร์โหลดคนขึ้นไปยังแดนบน ย่อมเปิดพื้นที่ในแดนหลังให้กว้างขึ้น
ตรงนี้ก็น่าห่วง เพราะ อาร์เซน่อล จะคอยมองหาช่องว่างนี้เพื่อเล่นงาน มาดริด กลับอยู่แล้ว สำคัญว่า มาดริด จะจัดการได้ดีแค่ไหน เพราะสกอร์ตาม 0-3 หากพลาดท่าโดนแม้สักลูกเดียวก็น่าจะจบเห่ ดังนั้นความสมดุลจึงต้องมี
ในเมื่อรุกต้องจัด จบสกอร์ต้องคม เกมรับก็ต้องเนี๊ยบเช่นกัน นี่ยังไม่ได้พูดถึงคุณภาพของคู่ต่อสู้อีก เพราะตลอดซีซั่นนี้ อาร์เซน่อล แพ้เยอะสุดคือ 0-2 ต่อ บอร์นมัธ เมื่อตุลาคมปีที่แล้ว
คิดจากตรงนี้ มันยากถึงโคตรจะยากอย่างที่ทั้งโลกมองกัน รวมทั้งทุกคนที่ มาดริด เอง ก็ไม่มีใครคิดว่ามันจะทำได้ง่ายๆ แต่ก็เช่นเดียวกันที่ยังมีความเชื่ออยู่ว่า "ทุกอย่างยังเป็นไปได้"
ใช่ครับ เรอัล มาดริด ต้องเริ่มจากความเชื่อก่อน เชื่อว่าทุกอย่างมันยังไม่จบ ถกแขนเสื้อแล้วลงไปลุยดูสักตั้ง ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างที่มี
จากนั้น จะพลาด จะพลั้ง หรือ สมหวัง ก็ให้มันเป็นเรื่องของเกมในสนาม
#เจมส์ลาลีกา