มันอาจจะจริงอย่างที่ หลุยส์ เอ็นรีเก้ เชื่อว่า เปแอสเช-ลิเวอร์พูล ใครที่ผ่านเข้ารอบจะสามารถไปถึงรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งสุดท้ายเป็นทีมของเขาที่เดินทางเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ
ความเข้มข้นตลอด 210 นาทีจากสองเลกที่ พาร์ค เดอส์ แพร็งส์ กับ แอนฟิลด์ อาจพอพูดได้ว่านี่คือสองทีมที่ดีที่สุดของยุโรป ณ ตอนนี้
คงเป็นเรื่องไม่ยุติธรรมหากจะบอกว่าทีมใดสมควรชนะมากกว่ากัน และเป็นเรื่องยากที่จะแย้งว่า เปแอสเช ไม่คู่ควรกับการเข้ารอบ
ผลการแข่งขันในกรุงปารีสอาจไม่ได้สะท้อนถึงรูปเกมที่แท้จริง และที่เมืองลิเวอร์พูล พวกเขาก็ยังมีโอกาสยิงมากกว่าทีมเจ้าบ้าน (21:19) รวมถึงสถิติค่าคาดการณ์จะเป็นประตูหรือ xG ก็ยังเหนือกว่า (2.56:1.64)
แม้ว่าเกมเลกสองช่วงครึ่งหลัง ลิเวอร์พูล ครองเกมได้อย่างต่อเนื่องจน เปแอสเช ต้องถอยไปตั้งรับ และได้ลูกเซฟสำคัญจาก จานลุยจิ ดอนนารุมม่า หลายครั้ง แต่พวกเขาก็ยังยืนหยัด เล่นเกมรับแข็งแกร่ง ขณะที่เกมรุกยังสบหาโอกาสอันตรายจากเกมโต้กลับ
โดยอาศัยความสามารถเฉพาะตัวของสามประสานอย่าง ควิช่า ควารัตสเคเลีย, อุสมาน เดมเบเล่ และ แบร็ดลี่ย์ บาร์โคล่า
สิ่งที่ เปแอสเช มีดีคือไม่ได้ดีแค่แนวรุกที่น่ากลัว
หลังใช้เวลาหลายปีไปกับการพึ่งพานักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ ตอนนี้ เปแอสเช กลายเป็นทีมที่ยอดเยี่ยมเอามาก ๆ และอาจะเป็นทีมที่ดีที่สุดใน ยุโรป เลยก็ว่าได้
เปแอสเช ชุดนี้เติบโตขึ้นชนิดเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือ
นับตั้งแต่ออกสตาร์ต แชมเปี้ยนส์ ลีก แบบย่ำแย่ โดยแพ้ให้กับ อาร์เซน่อล, แอตเลติโก มาดริด และ บาเยิร์น มิวนิค แต่จากนั้นพวกเขาแสดงให้เห็นถึงคุณภาพที่แท้จริง
การเสริมนักเตะอย่าง วิตินญ่า, นูโน่ เมนเดส, วิลเลียน ปาโช่, บาร์โคล่า, เชา เนเวส, เดซีเร่ ดูเอ้ และล่าสุด ควารัตสเคเลีย ถือเป็นการเปลี่ยนแนวทางของสโมสรไปแบบสิ้นเชิง
...
ก่อนแพ้ ลิเวอร์พูล พวกเขาชนะ 10 นัดติดต่อกันทุกรายการ และถึงตอนนี้ เปแอสเช ชนะเกมเยือน 14 นัดรวด (รวมชนะจุดโทษ เฟรนช์ คัพเหนือ ล็องส์) โดยที่ เดมเบเล่ ยิง 23 ประตูจาก 17 เกมหลัง
ช่วงการดวลจุดโทษ พลพรรคปารีเซียงก้าวผ่านแบบไร้ความกดดัน ลดความเสียเปรียบจากการเสี่ยงโยนเหรียญที่ได้เลือกฝั่งที่ห่างจาก เดอะ ค็อป
วิตินญ่า ย่องมายิงอย่างใจเย็น
กอนซาโล่ รามอส ถูกส่งมาเพื่อสังหาร
เดมเบเล่ สอยแบบเฉียบขาด
และ เดซีเร่ ดูเอ้ ปิดจ็อบสังหารอย่างแม่นยำ
ขณะที่ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า ลบล้างความยอดเยี่ยมของ อลีสซง เบ็คเกอร์
ภาพที่สะท้อนสปิริตทีม เปแอสเช ที่ขาดหายไปนานคือการโผเข้ากอดกันราวพี่น้องระหว่าง เอ็นรีเก้ กับ เดมเบเล่
มันคือการเปลี่ยนแปลงที่น่ายกย่อง หากย้อนไปถึงช่วงรอบแบ่งกลุ่มที่พวกเขาแพ้ถึง 3 นัด แล้วต้องชนะ สตุ๊ดการ์ท ในเกมสุดท้ายเพื่อไปรอบเพลย์ออฟ
คำถามคือ จากฟอร์มที่ เปแอสเช สำแดงออกมา ใครกันจะมาหยุดพวกเขาได้?
...
สำหรับ เดมเบเล่ กำลังอยู่ในฟอร์มที่ดีที่สุดในอาชีพ
เฉพาะปี 2025 เขาทำไป 21 ประตู มากสุดในบรรดาผู้เล่น 5 ลีกใหญ่ ยุโรป ซึ่งลูกยิงจ่อ ๆ ใส่ ลิเวอร์พูล คงเป็นลูกที่ง่ายที่สุดของเขาในปีนี้
หลายคนทราบดีว่า เดมเบเล่ เป็นผู้เล่นสารพัดประโยชน์ ซ้าย-ขวา-กลางเล่นได้ทุกตำแหน่งตรงแนวรุก และที่ เปแอสเช เขามักสลับไปมาระหว่างสองฝั่งสนาม ส่วนตรงกลางก็ขยับเข้ามาเพื่อโจมตีพื้นที่หลังไลน์คู่แข่ง
อย่างหนึ่งที่บางคนมองข้ามไปคือ ความสามารถการลงมาต่ำเพื่อช่วยสร้างความได้เปรียบตรงแดนกลาง ซึ่งนี่คือกลยุทธ์สำคัญของ เปแอสเช ที่แกะเพรสซิ่งฝั่งตรงข้าม
ตัวอย่างคือประตูแรกของพวกเขา ที่ เดมเบเล่ ลงมาเก็บบอลตรงกลางสนามก่อนจะพาบอลขึ้นหน้าแล้วแทงทะลุให้ บาร์โคล่า
มีคำถามถึงการป้องกันของ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์...
เวย์น รูนี่ย์ บอกผ่าน Amazon Prime ว่าเป็นการป้องกันที่ -ขี้เกียจ- แต่หากดูแผนของ เปแอสเช แล้ว จะเห็นว่า มิดฟิลด์ของพวกเขาดึงกองกลาง ลิเวอร์พูล ให้อยู่ห่างจากกัน แล้วใช้การเคลื่อนที่เพื่อเปิดช่องว่างตรงกลาง
...
ในทางตรงกันข้าม ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบมาแบบสบาย ๆ ด้วยการจบอันดับหนึ่ง ชนะ 7 นัดแรกอย่างไร้กังวล
พวกเขาเริ่มต้นเกมเลกสองด้วยความมุ่งมั่น
ช่วง 6 นาทีแรก ลิเวอร์พูล มีโอกาสยิงมากกว่าตลอดทั้งเกมที่ ปารีส เพียงแต่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ พลาดโอกาสทั้งสองนั้น
ครึ่งหลัง ทีมของ อาร์เน่อ ยังเล่นดุดัน คุกคามใส่ เปแอสเช ต่อเนื่อง ทว่าไม่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นสกอร์ได้ จนกระทั่งผู้มาเยือนทำได้ดีกว่าตอนช่วงต่อเวลาพิเศษ
การดวลจุดโทษ เราทำได้แค่เห็นใจ ดาร์วิน นูนเญซ และ เคอร์ติส โจนส์ ไม่มีอะไรที่ต้องไปตำหนิเขาทั้งคู่
ความรู้สึกฝั่ง ลิเวอร์พูล มันบอบช้ำ แต่พวกเราไม่มีเวลามามัวเศร้า
ลิเวอร์พูล ต้องเดินหน้าต่อ มีสิ่งที่สำคัญอีกหนึ่งเกมรออยู่คือนัดชิงชนะเลิศ คาราบาว คัพ กับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด
ลิเวอร์พูล ต้องลุกขึ้นมา และคว้าแชมป์แรกในยุคของ อาร์เน่อ ให้ได้
การตกรอบมันเจ็บปวดก็จริง แต่อนาคตยังคงสดใสรอพวกเขาอยู่
HOSSALONSO