ศึกลูกหนัง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ประจำฤดูกาล 2022/23 ผ่านพ้นรอบแบ่งกลุ่มเป็นที่เรียบร้อย โดยที่ใช้เวลาฟาดแข้งแบบรวบรัดแค่เกือบ 2 เดือนเท่านั้น ซึ่งนั่นก็เพราะมีศึกฟุตบอลโลก 2022 รออยู่ และข้างล่างนี้คือโฉมหน้า 16 ทีมที่ผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ ซึ่งแชมป์เก่า เรอัล มาดริด รวมถึง ลิเวอร์พูล รองแชมป์เก่า ต่างมาตามนัด เช่นเดียวกับ บาเยิร์น มิวนิค ที่ยังคงมาตรฐานสูงเหมือนเดิม สำหรับการแข่งขันในถ้วย "บิ๊ก เอียร์ส" ส่วนยักษ์ใหญ่ที่ไม่ได้ไปต่อ ก็มีอย่าง บาร์เซโลน่า, แอตเลติโก มาดริด, ยูเวนตุส และ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม
- นาโปลี (แชมป์กลุ่ม เอ)
ผลงาน : ชนะ 5, เสมอ 0, แพ้ 1, ยิงได้ 20, เสีย 6 (+14), 15 แต้ม
ซีซั่นนี้ ทีมจ่าฝูง เซเรีย อา ภายใต้การนำทัพของกุนซือ ลูชาโน่ สปัลเล็ตติ ทำผลงานได้อย่างสุดยอดทั้งในลีกและถ้วย แชมเปี้ยนส์ ลีก โดยเฉพาะในรายการหลัง พวกเขาถือว่าทำผลงานได้ดีเกินคาด ผ่านเข้ารอบแบบสบายๆ ด้วยการคว้าชัยรวด 5 นัดแรก ซึ่งก็รวมถึงชัยชนะ 4-1 เหนือ ลิเวอร์พูล ที่บ้านตัวเอง และการบุกไปยำโหด อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม 6-1 ที่ โยฮัน ครัฟฟ์ อารีน่า
- ลิเวอร์พูล (รองแชมป์กลุ่ม เอ)
ผลงาน : ชนะ 5, เสมอ 0, แพ้ 1, ยิงได้ 17, เสีย 6 (+11), 15 แต้ม
รองแชมป์จากฤดูกาลที่แล้ว ออกสตาร์ตแบบสุดช็อก เพราะบุกไปพ่าย นาโปลี ยับเยินด้วยสกอร์ 1-4 ทว่าหลังจากนั้นทีมของกุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ เดินหน้าเก็บชัยชนะรวด 5 นัด ซึ่งก็รวมถึงการแก้แค้น นาโปลี ที่ แอนฟิลด์ (ชนะ 2-0) เมื่อคืนวันอังคาร พร้อมลิ่วสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายแบบหล่อๆ แม้เป็นแค่อันดับสองก็ตาม (แต้มเท่ากับ นาโปลี แต่ ลิเวอร์พูล มีสถิติ "เฮด-ทู-เฮด" เป็นรอง)
- ปอร์โต้ (แชมป์กลุ่ม บี)
ผลงาน : ชนะ 4, เสมอ 0, แพ้ 2, ยิงได้ 12, เสีย 7 (+5), 12 แต้ม
ยักษ์ใหญ่จากโปรตุเกส เปิดฉาก 2 เกมแรกแบบแพ้รวด และหนึ่งในนั้นคือการพ่าย คลับ บรูช คาบ้าน 0-4 แต่สุดท้าย ปอร์โต้ ที่มี เมห์ดี้ ทาเรมี่ หัวหอกชาวอิหร่าน เป็นดาวเด่น กลับกลายเป็นแชมป์กลุ่ม เพราะเดินหน้าโกย 12 คะแนนเต็ม จาก 4 เกมต่อมา
- คลับ บรูช (รองแชมป์กลุ่ม บี)
ผลงาน : ชนะ 3, เสมอ 2, แพ้ 1, ยิงได้ 7, เสีย 4 (+3), 11 แต้ม
ถือเป็นทีมจอมเซอร์ไพรส์ประจำทัวร์นาเมนต์เลยก็ว่าได้ เพราะทีมดังจากเบลเยียมทีมนี้ ถือเป็นทีมแรกๆ ที่การันตีการผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย และที่สุดยอดมากๆ คือ พวกเขาเก็บคลีนชีตได้ถึง 5 เกม
- บาเยิร์น มิวนิค (แชมป์กลุ่ม ซี)
ผลงาน : ชนะ 6, เสมอ 0, แพ้ 0, ยิงได้ 18, เสีย 2 (+16), 18 แต้ม
ถึงแม้ผลงานในลีกดูต่ำกว่ามาตรฐาน แต่ในถ้วย แชมเปี้ยนส์ ลีก "เสือใต้" ยังคงมีมาตรฐานที่สูงปรี๊ด และเล่นได้โดดเด่นกว่าชาวบ้านเสมอ ทั้งๆ ที่ฤดูกาลนี้ถูกมองว่าอยู่ในกลุ่มแห่งความตาย หรือ "กรุ๊ป ออฟ เดธ" แท้ๆ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นงานง่ายสำหรับ บาเยิร์น ที่คว้าชัยชนะได้แบบ 100% ซึ่งถือเป็นทีมเดียวในซีซั่นนี้ ที่ทำสถิติดังกล่าวได้ และนับเป็นซีซั่นที่สองติดต่อกันแล้ว ที่ บาเยิร์น คว้าชัยรวดทั้ง 6 เกมในรอบแบ่งกลุ่มถ้วย "บิ๊ก เอียร์ส"
- อินเตอร์ มิลาน (รองแชมป์กลุ่ม ซี)
ผลงาน : ชนะ 3, เสมอ 1, แพ้ 2, ยิงได้ 10, เสีย 7 (+3), 10 แต้ม
"งูใหญ่" ของกุนซือ ซิโมเน่ อินซากี้ การันตีเข้ารอบตาม บาเยิร์น ตั้งแต่แมตช์เดย์ที่ห้า ที่พวกเขาเปิดบ้านยำ วิคตอเรีย พิลเซ่น 4-0 โดยที่ตลอด 6 เกม พวกเขาแพ้ให้กับ "เสือใต้" เพียงทีมเดียว (แพ้ด้วยสกอร์ 0-2 ทั้งเยือนและเหย้า)
- ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ (แชมป์กลุ่ม ดี)
ผลงาน : ชนะ 3, เสมอ 2, แพ้ 1, ยิงได้ 8, เสีย 6 (+2), 11 แต้ม
ถือเป็นกลุ่มที่ทั้งสี่ทีมมีลุ้นกันจนถึงนัดสุดท้าย และเป็น "ไก่เดือยทอง" ของกุนซือ อันโตนิโอ คอนเต้ ที่เข้าป้ายคว้าแชมป์กลุ่ม หลังบุกไปพลิกเชือด โอลิมปิก มาร์กเซย 2-1 เมื่อคืนวันอังคาร โดยที่มาได้ประตูชัยในนาทีที่ 90+4 จาก ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบียร์ก
- ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต (รองแชมป์กลุ่ม ดี)
ผลงาน : ชนะ 3, เสมอ 1, แพ้ 2, ยิงได้ 7, เสีย 8 (-1), 10 แต้ม
แชมป์ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ลบคำสบประมาท ผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ ในฐานะทีมอันดับสอง ได้อย่างน่าประทับใจ โดยที่พวกเขาเร่งเครื่องคว้าชัยใน 2 เกมสุดท้ายที่เจอกับ โอลิมปิก มาร์กเซย และ สปอร์ติ้ง ลิสบอน (ชนะ 2-1 ทั้งสองเกม)
- เชลซี (แชมป์กลุ่ม อี)
ผลงาน : ชนะ 4, เสมอ 1, แพ้ 1, ยิงได้ 10, เสีย 4 (+6), 13 แต้ม
แชมป์เมื่อฤดูกาล 2020/21 เปิดหัว 2 เกมแรกได้อย่างน่าผิดหวัง (แพ้ 1, เสมอ 1) แต่ไปๆ มาๆ พวกเขาสามารถการันตีการเป็นแชมป์กลุ่มได้ตั้งแต่ก่อนถึงนัดสุดท้าย ซึ่งก็ต้องขอบคุณการคว้าชัยรวดในเกมที่ 3-5 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตบ เอซี มิลาน แบบสวยๆ ทั้งเกมเหย้า (3-0) และเยือน (2-0)
- เอซี มิลาน (รองแชมป์กลุ่ม อี)
ผลงาน : ชนะ 3, เสมอ 1, แพ้ 2, ยิงได้ 12, เสีย 7 (+5), 10 แต้ม
"ปีศาจแดง-ดำ" ทำได้ตามเป้า สำหรับการเข้ารอบตาม เชลซี หลังเปิดบ้านอัด ซัลซ์บวร์ก 4-0 ในเกมสุดท้าย เมื่อคืนวันพุธ ซึ่งถือเป็นการผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ แชมเปี้ยนส์ ลีก หนแรกในรอบ 9 ปี ของสโมสร
- เรอัล มาดริด (แชมป์กลุ่ม เอฟ)
ผลงาน : ชนะ 4, เสมอ 1, แพ้ 1, ยิงได้ 15, เสีย 6 (+9), 13 แต้ม
"ราชันชุดขาว" แชมป์เก่าจากฤดูกาลที่แล้ว และเป็นแชมป์ 14 สมัย ไม่พลาดกับการเข้ารอบน็อกเอาต์ในฐานะแชมป์กลุ่ม หลังเปิดบ้านถล่ม เซลติก 5-1 ส่งท้าย เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา ถึงแม้ฟอร์มฝืดไม่ชนะสองนัดติดในแมตช์ที่ 4 และ 5 (บุกเจ๊า ชัคตาร์ โดเน็ตส์ค 1-1 และบุกแพ้ แอร์เบ ไลป์ซิก 2-3) ก็ตาม
- แอร์เบ ไลป์ซิก (รองแชมป์กลุ่ม เอฟ)
ผลงาน : ชนะ 4, เสมอ 0, แพ้ 2, ยิงได้ 13, เสีย 9 (+4), 12 แต้ม
ไลป์ซิก ของกุนซือ มาร์โค โรเซอ พลิกสถานการณ์เข้ารอบได้อย่างสุดยอด ทั้งที่ผ่าน 2 เกมแรก มี 0 แต้ม โดยพวกเขาเดินหน้าคว้าชัยรวดใน 4 เกมหลังสุด ซึ่งก็รวมถึงชัยชนะ 3-2 เหนือ เรอัล มาดริด ที่ เร้ดบูลล์ อารีน่า เมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญเลยทีเดียว
- แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (แชมป์กลุ่ม จี)
ผลงาน : ชนะ 4, เสมอ 2, แพ้ 0, ยิงได้ 14, เสีย 2 (+12), 14 แต้ม
ทีมแชมป์ พรีเมียร์ลีก ของกุนซือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เข้ารอบน็อกเอาต์ในฐานะทีมจ่าฝูงได้สบายๆ ตามคาด ซึ่งถึงแม้ผลงานไม่ได้โหดเหมือนฤดูกาลก่อนๆ แต่นั่นก็ถือว่าเพียงพอแล้ว ขณะที่ เออร์ลิง ฮาลันด์ ดาวยิงตัวเก่ง กระทุ้งไปแล้วถึง 5 ประตู จากการลงเล่นเพียง 4 นัด
- โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ (รองแชมป์กลุ่ม จี)
ผลงาน : ชนะ 2, เสมอ 3, แพ้ 1, ยิงได้ 10, เสีย 5 (+5), 9 แต้ม
"เสือเหลือง" จูงมือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เข้ารอบ หลังจากที่ทั้งสองทีมเสมอกัน 0-0 ที่ ซิกนัล อิดูน่า พาร์ค เมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว โดยที่แข้งดาวเด่นประจำทีมคือ จู๊ด เบลลิงแฮม กองกลางชาวอังกฤษ ที่กดไปแล้วถึง 4 ประตู ในรายการนี้
- เบนฟิก้า (แชมป์กลุ่ม เอช)
ผลงาน : ชนะ 4, เสมอ 2, แพ้ 0, ยิงได้ 16, เสีย 7 (+9), 14 แต้ม
"เหยี่ยวลิสบอน" แซง เปแอสเช เป็นแชมป์กลุ่มเฉยเลย หลังเกมสุดท้ายเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา พวกเขาบุกไปยำใหญ่ มัคคาบี้ ไฮฟา 6-1 โดยถึงแม้ทั้งสองทีมมีสถิติเท่ากันหมด ทั้งแต้ม, ประตูได้, ประตูเสีย, ผลต่าง หรือแม้แต่สถิติ "เฮด-ทู-เฮด" ทว่า เบนฟิก้า มาเชือดเฉือนตรงที่พวกเขาทำประตูนอกบ้านถึง 9 ลูก ซึ่งมากกว่า เปแอสเช ที่ทำได้ 6 ลูก ซึ่งด้วยเหตุดังกล่าวทำให้ทีมของกุนซือ โรเจอร์ ชมิดท์ กลายเป็นเข้ารอบน็อกเอาต์ในฐานะทีมอันดับหนึ่งแทน
- ปารีส แซงต์-แชร์กแมง (รองแชมป์กลุ่ม เอช)
ผลงาน : ชนะ 4, เสมอ 2, แพ้ 0, ยิงได้ 16, เสีย 7 (+9), 14 แต้ม
เกมสุดท้ายเมื่อคืนวันพุธ อุตส่าห์บุกไปเชือด ยูเวนตุส 2-1 ถึงเมืองตูริน แต่ประตูช่วงทดเจ็บของอีกสนาม (เบนฟิก้า บุกถล่ม มัคคาบี้ ไฮฟา 6-1) กลายเป็นประตูที่ฉุด เปแอสเช ลงมาเป็นที่สอง เพียงเพราะพวกเขาทำประตูนอกบ้านได้น้อยกว่า "เหยี่ยวลิสบอน" กระนั้น เปแอสเช ของกุนซือ คริสตอฟ กัลทิเยร์ ถือเป็นทีมอันดับสอง ที่ทีมแชมป์จากกลุ่มอื่นๆ คงไม่อยากเจอเป็นแน่
หมายเหตุ : สำหรับการจับสลากประกบคู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย จะมีขึ้นในวันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายนนี้ โดยการแข่งขันนัดแรกจะฟาดแข้งในวันที่ 14, 15, 21 และ 22 กุมภาพันธ์ ปีหน้า ส่วนนัดสองจะเตะกันในวันที่ 7, 8, 14 และ 15 มีนาคม
Subinho