เรอัล มาดริด ยังอยู่ในช่วงเวลาพิเศษของพวกเขา..
ช่วงเวลาพิเศษที่ไล่กวาดความสำเร็จในเวทีที่เหมือนพวกเขาเป็นเจ้าของ
มาดริดคล้ายมี "ลูป" ของตัวเอง จากที่เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ บางทีพอถึงเวลาเหมาะ ๆ พวกเขาก็จะเดินมาบอกกับเพื่อนทีมอื่น ๆ ว่าผมขอล่ะนะ
แล้วก็โดยไม่ฟังอีร้าค่าอีรม พวกเขาก็จะเอาแชมป์ยุโรปไปครอบครองอย่างไม่เกรงใจใคร
ช่วงเวลาพิเศษ หรือ "ลูป" ที่ว่าของ เรอัล มาดริด คือช่วงที่พวกเขาจะได้แชมป์ยุโรปแบบติด ๆ กัน หยุดไม่อยู่เหมือนรถเบรกแตก
มันเกิดขึ้นมาแล้ว 3 ช่วง..
ช่วงที่ 1 (กลางทศวรรษ 1950 ต่อเนื่องกลางทศวรรษ 1960)
-เข้าชิงยูโรเปี้ยน คัพ 8 ครั้งใน 11 ฤดูกาล
-ได้แชมป์ 6 สมัย รองแชมป์ 2 สมัย ในการเข้าชิง 8 ครั้งนั้น
-แชมป์ 1956, 1957, 1958, 1959, 1960 และ 1966
-รองแชมป์ 1962 กับ 1964
------
ช่วงที่ 2 (ปลายทศวรรษ 1990 ต่อต้นทศวรรษ 2000)
-เข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 3 ครั้งใน 5 ฤดูกาล
-ได้แชมป์ 3 สมัย ในการเข้าชิง 3 ครั้งนั้น
-แชมป์ 1998, 2000 และ 2002
------
และช่วงที่สาม (กลางทศวรรษ 2010 เป็นต้นมา ลากยาวจนถึงปัจจุบัน)
-เข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 6 ครั้งใน 11 ฤดูกาล
-ได้แชมป์ 6 สมัย ในการเข้าชิงทั้ง 6 ครั้งนั้น
-แชมป์ 2014, 2016, 2017, 2018, 2022 และ 2024
-----------
ทั้ง 3 ช่วงนี้ชัดเจนมากสำหรับบุคลิกของ เรอัล มาดริด พวกเขาจะมี "ยุคทอง" ที่ไม่มีใครเทียบเทียมได้ในเวทีเจ้ายุโรป
มีช่วงที่หายหน้าไปแค่ 2 ช่วงใหญ่ ๆ คือการรอคอย 32 ปีนับตั้งแต่ปี 1966 ถึงปี 1998 ซึ่งระหว่างนั้นทีมได้เข้าชิงแค่ครั้งเดียวในปี 1981 ที่ผลลงเอยด้วยความปราชัย
และอีกช่วงหนึ่งคือการรอคอย 12 ปีนับตั้งแต่ปี 2002 ถึงปี 2014
ความพ่ายแพ้ในปี 1981 คือครั้งสุดท้ายจนถึงตอนนี้ที่พวกเขาอกหักในนัดชิง เพราะนับจากคราวนั้น เรอัล มาดริด เข้าชิงยูโรเปี้ยน คัพ/ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 9 ครั้ง ชนะรวด!
นั่นแหละ เรอัล มาดริด ที่เรารู้จัก
และเกม 90 นาทีที่เวมบลีย์เมื่อคืนวันเสาร์ก็ยืนยันกับเราอีกครั้งว่านี่แหละ.. เรอัล มาดริด
คุมสถานการณ์ได้ด้วยความนิ่ง และลงโทษคุณในแบบที่คุณได้แต่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ได้แต่คาใจว่าทำอะไรผิด ได้แต่สงสัยว่าทำไมถึงแพ้ ได้แต่รู้สึกว่ามันน่าจะออกมาดีกว่านี้
เพราะคุณสู้ได้ และน่าจะชนะได้ แต่สุดท้ายบทลงเอยก็เหมือนคู่ชิงทีมอื่น ๆ ของพวกเขา
โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เตรียมทีมมาสู้กับ เรอัล มาดริด ได้ดี พวกเขารับในแดน ปิดพื้นที่ มีสมาธิ สลับกับขึ้นไปไล่บีบแย่งบอลแดนบนสร้างความกดดันไม่ให้ เรอัล มาดริด ตั้งเกมง่าย ๆ เป็นระยะ
เล่นอย่างมีวินัย เข้าใจเกม ตัดบอลได้เมื่อไหร่พร้อมโจมตีเร็วทันที การเปลี่ยนจากรับเป็นรุกทำได้น่าชื่นชม รวดเร็ว ฉับไว และสร้างโอกาสได้
มัทส์ ฮุมเมิลส์ บัญชาเกมแนวรับยอดเยี่ยม และยังแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติการเป็นเซนเตอร์แบ๊กที่มีเซนส์เรื่องเกมบุก กล้าผ่านบอลได้เสียอย่างจังหวะที่แทงให้ คาริม อเดเยมี่ หลุดไปดวลเดี่ยวกับ ติโบต์ กูร์กตัวส์
บอลสั้นสลับวางยาวแบบไดเร็กต์ก็ทำได้ดี เกมรับไม่มีหลุด จำกัดโอกาสของตัวรุกทีมชุดขาวทั้ง จู๊ด เบลลิงแฮม และ โรดรีโก้ ให้เป็นศูนย์ มีเพียง วินิซิอุส จูเนียร์ ที่พอจะทำอะไรได้บ้าง
เป็นครึ่งแรกที่น่าประทับใจของทีมเสือเหลืองในแง่ของรูปเกม แต่แน่ล่ะครับ ทุกคนรู้ดีว่ามันไม่พอหรอก มันไม่น่าพอใจเลยด้วยซ้ำที่เปิดแผลราชันไม่ได้ในรูปเกมที่ตัวเองมีโอกาสอย่างนี้
ยิง 8 ตรงกรอบ 3 หลุดเดี่ยว 1 ขณะที่ มาดริด ได้ยิงแค่ 2 ครั้งไม่เข้ากรอบเลย
แต่ มาดริด ก็คือ มาดริด.. ราชันก็ยังเป็นราชา กี่เกมแล้วที่ เรอัล มาดริด บอกให้โลกรู้ว่า ถ้าคุณลงโทษพวกเขาไม่ได้ เดี๋ยวเขาจะกลับมาลงโทษคุณเอง
เมื่อดอร์ทมุนด์โยนมันทิ้งไป พวกเขาจึงต้องเผชิญกับชะตากรรมในแบบที่ผู้ท้าชิงรายแล้วรายเล่าของยอดแชมป์ต้องเจอ
ได้พักทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงพักครึ่ง คาร์โล อันเชลอตติ ได้แก้เกมและกำชับลูกทีม กลับมาอีกที เรอัล มาดริด ไม่เปิดโอกาสให้ดอร์ทมุนด์มากมายเหมือนเดิมแล้ว
พวกเขาเสียบอลยากขึ้น ทำให้เจอการเปลี่ยนเกมรับเป็นรุกอันตราย ๆ จากเสือเหลืองน้อยลง
ค่อย ๆ ควบคุมเกมให้มาอยู่ในมือ ยังคงรักษาความนิ่งและเยือกเย็นไว้ เล่นอย่างเข้าใจสถานการณ์
สบาย ๆ กับความกดดันทั้งปวง
ความกดดันนั้นมีเท่ากันทั้ง 2 ทีม ด้วยสกอร์ที่ยังตรึงกันอยู่ที่ 0-0 ยิ่งเวลาผ่านไปการเสียประตูยิ่งหมายถึงความเสียหายที่รุนแรงขึ้น
ทั้ง ดอร์ทมุนด์ และ เรอัล มาดริด เผชิญหน้ากับแรงกดดันก้อนใหญ่นั้นเท่ากัน เป็นโจทย์ข้อเดียวกัน
แต่ เรอัล มาดริด รับมือกับมันได้ดีกว่า ด้วยประสบการณ์ ด้วยชั้นเชิง ด้วยความเข้าใจ ในแบบของคนที่ผ่านมันมาหมดแล้ว
กวาดตามองไปในทีมชุดขาว แทบทุกคนคือแชมป์ และเป็นแชมป์แบบที่รู้จักรายการนี้ทะลุปรุโปร่ง
เมื่อผ่านหนึ่งชั่วโมงของเกม จากที่ยังมองเห็นความสูสีก็เริ่มมีภาพของความแตกต่างให้เห็น
ในขณะที่นักเตะมาดริดยังจัดการกับทุกอย่างได้เป็นปกติ นักเตะดอร์ทมุนด์เริ่มแบกรับแรงกดดันที่มากขึ้นไม่ไหว
จากที่กล้าเล่นกลับเริ่มลังเลไม่กล้าเล่น จากที่กล้าตัดสินใจก็เริ่มกังวลไม่กล้าตัดสินใจ
จากการผ่านบอลที่เคยหนักแน่นก็เริ่มหละหลวม น้ำหนักบอลที่เคยแน่นอนก็กลับขาด ทิศทางที่เคยแม่นยำทำให้เกมรวดเร็วก็ต้องปรับต้องแต่ง
ความมั่นใจค่อย ๆ หดหายลง
ในขณะที่ เรอัล มาดริด ยังเล่นได้อย่างเดิม ดอร์ทมุนด์กลับเล่นไม่ได้อย่างเดิม
ยิ่งเมื่อผ่านครึ่งชั่วโมงของเกมเข้าสู่ 20 นาทีสุดท้ายก็ยิ่งเห็นชัด ดอร์ทมุนด์เสียบอลบ่อยขึ้น ทีมโลส บลังโกส แย่งบอลมาครองได้ถี่ขึ้น บอลมาป้วนเปี้ยนในพื้นที่หน้าเขตโทษทีมเสือเหลืองมากขึ้น
ตัวเริ่มใหญ่กว่าเดิม มากขึ้นเรื่อย ๆ ความรู้สึกนี้แฟนบอลหลายคนเข้าใจดี
แล้วพวกเขาก็ช่วงชิงมัน
คุณทำเขาไม่ได้ เขาทำคุณได้ เวทีนี้ยังคงเป็นอย่างนั้น ตัวอันตรายที่เป็นทีเด็ดไม่ได้ยิง แต่ มาดริด มีตัวไม่คาดคิดโผล่มายิง
จาก โฆเซลู ในรอบตัดเชือก สู่ ดานี่ การ์บาฆาล ในนัดชิง
บอลเจาะตามช่องยิงไม่ได้ บอลแทงทะลุยังทำอะไรไม่ได้ บอลครอสด้านข้างก็ทำไม่ได้ บอลถึงเส้นหลังก็ยังไม่มีผล แต่ มาดริด ก็ใช้ลูกนิ่งทำลายคุณ
โทนี่ โครส เปิดลูกเตะมุม
เป้าหมายของโครสคือพื้นที่ตรงเสาแรกที่ในตอนแรกยังว่างไม่มีใครจับจอง แต่เมื่อบอลออกจากเท้าของมิดฟิลด์เยอรมัน การ์บาฆาลคือคนที่โฉบเข้ามาตรงจุดนัดพบนั้น
เรื่องความแม่นยำในการวางบอลของโครสนั้นไม่มีคำถาม บอลจึงหยดลงที่ศีรษะของแบ๊กขวาคนเก่งโหม่งเช็ดบาง ๆ ส่งบอลเข้าเสาไกล
ตัวพิเศษของมาดริดทำงานในนาทีสำคัญ นี่คือประตูที่ 2 เท่านั้นของการ์บาฆาลในแชมเปี้ยนส์ ลีก
หลังทำประตูขึ้นนำ เราก็ยิ่งเห็นความเจนจัดของราชัน พวกเขาเพิ่มความเข้มข้นในแดนกลาง เข้าหาบอลเร็วเร่งกดดันนักเตะเสือเหลืองให้ก่อความผิดพลาด
ช่วงนั้นคือนาทีทองที่ดอร์ทมุนด์ยังกลับมาตั้งหลักไม่ได้ เป็นช่วงที่สภาวะตึงเครียดทำให้ความเชื่อมั่นพังทลาย และการมองเห็นช่องโหว่นั้นคือเรื่องที่ เรอัล มาดริด ช่ำชอง
เมื่อคู่แข่งเริ่มแกว่ง มาดริดไม่เคยปล่อยให้มันผ่านไปเฉย ๆ พวกเขาจมูกไวรับรู้มันได้ทันที
ตัดบอลแดนสองแล้วสร้างโอกาสทำประตู มันเกิดขึ้นติด ๆ กัน เบลลิงแฮมได้แปเล่นทางเน้น ๆ โครสได้ยิงฟรีคิกเข้ากรอบ เอดูอาร์โด้ กามาวินก้า ได้ปั่นจากนอกเขตโทษส่งบอลกำลังจะมุดใต้คาน
ถ้าไม่ได้ความยอดเยี่ยมของ เกรกอร์ โคเบล ช่วยปัดป้องไว้ได้ทั้งหมด ดอร์ทมุนด์โดนสอยลูกที่ 2 ในเวลาแค่ไม่กี่นาทีหลังเสียประตูแรกไปแล้ว
แต่กระนั้น สุดท้ายมันก็เกิดขึ้นอย่างที่ต้องเกิด
เส้นด้ายสมาธิของนักเตะดอร์ทมุนด์บางคนขาดผึง เอียน มาตเซ่น ที่รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาตลอด ส่งบอลเข้ากลางด้วยน้ำหนักและทิศทางผิดพลาด
เบลลิงแฮมเก็บบอลได้ มันเป็นพื้นที่หน้าหัวกะโหลกของทีมเสือเหลือง เขาโจมตีทันทีด้วยการไหลบอลให้ วินิซิอุส จูเนียร์ หลุดเข้าไปยิงผ่าน โคเบล เข้าประตูเป็น 2-0
นี่คือการลงโทษของแชมเปี้ยน
ความเขี้ยวของ อันเชลอตติ ก็คือเมื่อคุณมอบโอกาสให้เขาแล้ว การจะไปขอคืนง่าย ๆ นั้นไม่มีทาง
ถัดจากลูกโหม่งตีไข่แตกของ นิคลาส ฟึลครุก ก่อนหมดเวลา 3 นาทีที่ VAR ริบกลับเพราะล้ำหน้า คาร์เลตโต้ก็ไม่ปล่อยให้ดอร์ทมุนด์มีโอกาสอีกเลย
โฆเซลู กับ ลูก้า โมดริช ถูกส่งลงมาแทน โครส กับ เบลลิงแฮม ก่อนจังหวะนั้นไม่นาน เพื่อเพิ่มความสดแต่ยังวางกองหน้าค้ำขู่หน้าเขตโทษ
พอถึงนาทีที่ 89 ก็ส่ง เอแดร์ มิลิเตา ลงมาแทน โรดรีโก้
ถอดตัวรุก เพิ่มตัวรับ เพื่อประคองเกม
และในนาที 90+3 ทั้งที่ยังนำอยู่ 2-0 และเหลือเวลาอีกแค่นาทีเดียว ลูกัส บาสเกซ ก็ถูกส่งลงมาแทน วินิซิอุส จูเนียร์ อีกคน
นาทีนั้นแทบไม่มีความเสี่ยงใด ๆ แล้ว แต่เขาก็ยังเปลี่ยนตัวเพื่อให้ความเสี่ยงเข้าไปอยู่ใกล้ 0 ให้มากที่สุด
ต้องการปิดเกมก็เปลี่ยนตัวเพิ่มคนในแนวรับ ง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน ฆ่าเวลาไปในตัวด้วย ทำแล้วก็รอรับแชมป์
ปิดทุกช่องทางของปาฏิหาริย์ อันเชลอตติไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีกแล้ว
เรอัล มาดริด เป็นแชมป์ยุโรปสมัยที่ 15 เป็นดับเบิลแชมป์ ลา ลีกา/ แชมเปี้ยนส์ ลีก
จู๊ด เบลลิงแฮม ได้แชมป์ยิ่งใหญ่ตั้งแต่ฤดูกาลแรก เป็นพื้นฐานวิเศษสุดปูทางสู่ภารกิจรับใช้ทีมชาติในยูโร 2024
วินิซิอุส จูเนียร์ ก็เช่นกัน นาทีนี้เขาคือคนที่แย่งรางวัลบัลลงดอร์กับเพื่อนร่วมทีมชาวอังกฤษ บางทีผลงานในทีมชาติของทั้งคู่กลางปีนี้อาจเป็นตัวตัดสิน
โทนี่ โครส อำลาฟุตบอลระดับสโมสรด้วยแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ของตัวเอง เช่นเดียวกับ การ์บาฆาล นาโช่ และ ลูก้า โมดริช
อันเชลอตติได้แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ/ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยที่ 5 ในฐานะโค้ช และสมัยที่ 7 ถ้ารวมครั้งเป็นนักเตะ จากการเข้าชิง 8 หน..
ฤดูกาล 2023/24 คือฤดูกาลของ เรอัล มาดริด มันปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์แบบจริง ๆ ครับ
ตังกุย