ดอร์ทมุนด์ พบ เรอัล มาดริด: ยักษ์จะยังคงเป็นยักษ์ หรือว่าแจ๊คจะมาฆ่ายักษ์

ดอร์ทมุนด์ พบ เรอัล มาดริด: ยักษ์จะยังคงเป็นยักษ์ หรือว่าแจ๊คจะมาฆ่ายักษ์
มีเพียง เบนฟิก้า กับ อินเตอร์ มิลาน เท่านั้นที่มีสถิติเหนือกว่า เรอัล มาดริด ในการชิงเจ้ายุโรปกับทีมราชันชุดขาว..

เรอัล มาดริด ลงเล่นในนัดชิงยูโรเปี้ยน คัพ/ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก บ่อยเหลือเกิน เกมที่เวมบลีย์คืนวันนี้จะเป็นครั้งที่ 18 เข้าไปแล้วของขุนพลโลส บลังโกส

17 ครั้งที่ผ่านมา ผลงานของพวกเขาคือ 14-3

แชมป์ 14 รองแชมป์ 3..

เป็นสถิติที่ผิดไปจากธรรมชาติไม่น้อย เพราะโดยปกติแล้วความน่าจะเป็นสำหรับโอกาสคว้าแชมป์ของ 2 ทีมคู่ชิงควรจะอยู่ที่ 50-50 หรือ 60-40 แต่สิ่งที่ เรอัล มาดริด ทำมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันคืออัตราส่วนได้แชมป์ที่สูงถึง 82.35 เปอร์เซนต์เมื่อเข้าถึงรอบชิง

มันคือเวทีของพวกเขา

ในจำนวน 17 ครั้งที่เข้าชิง เรอัล มาดริด พบกับคู่ต่อสู้ 12 ทีม

มีเพียง 3 ทีมเท่านั้นที่เอาชนะพวกเขาได้ และจาก 3 ทีมที่ว่านั้น มีเพียง 2 ทีมที่มีสถิติเฮดทูเฮดในนัดชิงเหนือกว่าพวกเขา

เบนฟิก้า กับ อินเตอร์ มิลาน

ทีมเหยี่ยวลิสบอน (ปี 1962) กับทีมงูใหญ่ (ปี 1964) ต่างก็เอาชนะ เรอัล มาดริด ได้ในการพบกันแค่ครั้งเดียวในรอบชิง หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้โคจรมาชิงกันอีกเลย

ส่วนทีมที่ 3 คือ ลิเวอร์พูล ทีมหงส์แดงเป็นทีมล่าสุดจนถึงวันนี้ที่เอาชนะ โลส บลังโกส ได้ในนัดชิงยูโรเปี้ยน คัพ/ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

มันเกิดขึ้นเมื่อปี 1981 ที่ปาร์ก เดส์ แพร็งส์ แต่ทีมชุดขาวกลับมากินรวบเอาคืนได้ในการชิงกัน 2 ครั้งต่อมาปี 2018 และ 2022

สถิติเฮดทูเฮดระหว่าง เรอัล มาดริด กับ ลิเวอร์พูล ในนัดชิงเจ้ายุโรปจึงเป็น ชนะ 2 แพ้ 1 สำหรับมาดริด

ขณะที่ทีมอื่น ๆ ที่เหลืออีก 9 ราย ราชันเก็บกินเรียบวุธ

แร็งส์ 2 ครั้ง ยูเวนตุส 2 ครั้ง แอตเลติโก มาดริด 2 ครั้ง ฟิออเรนติน่า เอซี มิลาน ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต ปาร์ติซาน เบลเกรด บาเลนเซีย และ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ทีมละ 1 ครั้ง

โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จะเป็นคู่ต่อสู้ทีมที่ 13 และนัดชิงครั้งที่ 18 ของ เรอัล มาดริด ในเวทียูโรเปี้ยน คัพ/ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

-------------

มีประเด็นน่าพูดถึงมากมาย เว็บไซต์ของสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) ทำสกู๊ปสิ่งที่น่าสนใจในนัดชิงคราวนี้

-การอำลาของ มาร์โค รอยส์ กับ โทนี่ โครส

-การพบกันระหว่างนักเตะอังกฤษ จู๊ด เบลลิงแฮม และ เจดอน ซานโช่

-ความเป็นเต้ยในรายการนี้ของ คาร์โล อันเชลอตติ นับรวมตั้งแต่สมัยเป็นผู้เล่นเข้าไปด้วยนัดชิงครั้งนี้ก็เป็นนัดชิงครั้งที่ 8 เข้าไปแล้วของเขา 7 ครั้งที่ผ่านมาเป็นแชมป์ 6 สมัย (เป็นนักเตะเอซี มิลาน 2 สมัย เป็นโค้ชเอซี มิลาน 2 สมัย เป็นโค้ชเรอัล มาดริด 2 สมัย)

-สถิติการทำประตูที่ฝืดเคืองในช่วงหลัง นัดชิงแชมเปี้ยนส์ ลีก จบที่สกอร์ 1-0 มา 4 ปีติดต่อกันแล้ว และไม่มีเกมที่คู่ชิงทำประตูได้ทั้งคู่มาตั้งแต่ปี 2019 (ปี 2018 ที่ เรอัล มาดริด ชนะ ลิเวอร์พูล 3-1 คือครั้งล่าสุดที่คู่ชิงต่างก็ทำประตูได้ทั้ง 2 ทีม) แต่สถิติการพบกันของ ดอร์ทมุนด์ กับ เรอัล มาดริด ในถ้วยใบนี้การันตีการถล่มประตูเพราะยิงเฉลี่ยนัดละ 3 ลูก โดยเฉพาะ 4 เกมหลังสุดที่พบกันมีประตูเกิดขึ้นมากมายถึง 17 ประตู

แต่เฉพาะแค่เรื่องราวของ เรอัล มาดริด ก็มีเรื่องให้คุยยาวเหยียด

ผมคิดว่า เรอัล มาดริด มีพฤติกรรมเฉพาะตัวบางอย่างสำหรับรายการนี้ เป็นบุคลิกพิเศษที่ไม่มีใครเหมือน

พวกเขาไม่ได้ครองความยิ่งใหญ่ตลอดกาลแบบไล่เรียงมาทุกยุค มันมีช่วงที่ราชันหายหน้าไปเช่นกัน

เพียงแต่เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว จะไม่มีใครหยุดพวกเขาได้อยู่

-ทศวรรษ 1950 คือที่สุด แชมป์ 5 สมัยซ้อนใน 5 ปีแรกของ ยูโรเปี้ยน คัพ 1955/56 ถึง 1959/60

-ทศวรรษ 1960 ไม่ดีไม่แย่ เข้าชิง 3 ครั้งได้แชมป์ 1 สมัย เมื่อปี 1966

-ทศวรรษ 1970 ถึงปลายทศวรรษ 1990 คือช่วงตกต่ำ หายหน้าไปจากนัดชิงเจ้ายุโรป 32 ปี

-ปลายทศวรรษ 1990 ถึงต้นทศวรรษ 2000 กลับมาคว้าแชมป์ 3 สมัยใน 5 ปี (1998, 2000, 2002)

-ต้นทศวรรษ 2000 ถึงกลางทศวรรษ 2010 หล่นวูบอีกรอบ หายหน้าไปจากนัดชิงเจ้ายุโรป 12 ปี

-กลางทศวรรษ 2010 ถึงปัจจุบัน กลับมาคว้าแชมป์อีก 5 สมัยใน 8 ปี (2014, 2016, 2017, 2018, 2022)

นี่คือ เรอัล มาดริด.. ยามเงียบก็สงบเหมือนลมเอื่อย แต่ยามไล่ล่า พวกเขาก็ก้าวร้าวดั่งพายุ

เริ่มได้นับเมื่อไหร่ก็นับไม่เลิก และไม่หยุด เก็บถ้วยบิ๊กเอียร์ราวกับเดินเก็บใบไม้ที่ร่วงอยู่บนสนามหญ้าหลังบ้าน

เมื่อถึงเกมชี้เป็นชี้ตาย เรอัล มาดริด คล้ายจะแปลงร่างเป็นยักษ์ใหญ่ได้เสมอ และยิ่งวันเวลาผ่านไปก็ยิ่งดูเหมือนพวกเขาตัวใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีกในนัดชิง

ชิง 5 ครั้งแรกชนะรวด

ชิง 7 ครั้งแรกชนะ 5 แพ้ 2

ชิง 9 ครั้งแรกชนะ 6 แพ้ 3

ผ่านปี 1981 ที่เป็นครั้งสุดท้ายจนถึงวันนี้ที่ เรอัล มาดริด แพ้ในนัดชิงเจ้ายุโรป สถิติชิง 9 ได้แชมป์ 6 คิดเป็น 67 เปอร์เซนต์

มันก็ถือว่าไม่เลว.. แต่ใครเลยจะรู้ว่าความยิ่งใหญ่อย่างสมบูรณ์แบบกำลังจะเกิดขึ้น

หลังจากนั้น เรอัล มาดริด เข้าชิงอีก 8 ครั้ง.. ชนะรวดทั้งหมด

ปี 1998 เข้าชิงกับยูเวนตุส.. ชนะ 1-0 ได้แชมป์สมัยที่ 7

ปี 2000 เข้าชิงกับบาเลนเซีย.. ชนะ 3-0 ได้แชมป์สมัยที่ 8

ปี 2002 เข้าชิงกับไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น.. ชนะ 2-1 ได้แชมป์สมัยที่ 9

ปี 2014 เข้าชิงกับแอตเลติโก มาดริด.. ชนะต่อเวลา 4-1 ได้แชมป์สมัยที่ 10

ปี 2016 เข้าชิงกับแอตเลติโก มาดริด.. เสมอ 1-1 ชนะจุดโทษ ได้แชมป์สมัยที่ 11

ปี 2017 เข้าชิงกับยูเวนตุส.. ชนะ 4-1 ได้แชมป์สมัยที่ 12

ปี 2018 เข้าชิงกับลิเวอร์พูล.. ชนะ 3-1 ได้แชมป์สมัยที่ 13

ปี 2022 เข้าชิงกับลิเวอร์พูล.. ชนะ 1-0 ได้แชมป์สมัยที่ 14

ชิง 8 แชมป์ 8 คิดเป็น 100 เปอร์เซนต์

สถิติ 8-0 ในนัดชิง 8 ครั้งหลังสุดแทบจะเป็นเรื่องเหนือกฎธรรมชาติที่มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่ทำได้ กวาดตาดูทำเนียบแชมป์ทีมอื่นเห็นจะมีเพียง บาร์เซโลน่า คู่ปรับตลอดกาลเท่านั้นที่อยู่ใกล้ที่สุด ทีมอาซุลกราน่ามีสถิติ 4-0 ในการเข้าชิง 4 ครั้งหลังสุด (2006, 2009, 2011, 2015) นับตั้งแต่ถูก เอซี มิลาน ถล่มยับ 0-4 ที่เอเธนส์ เมื่อปี 1994

จะดีจะแย่อย่างไร เรอัล มาดริด ก็ยังคงเป็น เรอัล มาดริด ที่ลงสนามในนัดชิงเจ้ายุโรปด้วยความมั่นใจ รับมือกับมันราวกับกำลังลงทีมซ้อมธรรมดา ๆ ความกดดันทำอะไรพวกเขาไม่ได้

ที่เวมบลีย์คืนนี้ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จะเป็นคู่ต่อสู้ทีมที่ 13 และนัดชิงครั้งที่ 18 ของ เรอัล มาดริด ในเวทียูโรเปี้ยน คัพ/ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ 

ยักษ์จะยังคงเป็นยักษ์ หรือว่าแจ๊คจะมาฆ่ายักษ์ ตีสองคืนนี้รอติดตามกันครับ

ตังกุย


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport