อยากเห็น มาร์โค รอยส์ ได้ชูถ้วยแชมป์ยุโรป

อยากเห็น มาร์โค รอยส์ ได้ชูถ้วยแชมป์ยุโรป
จะว่าไปมันก็เหมือนกับมีใครเขียนสคริปต์บทละครไว้อีกครั้ง..

มาร์โค รอยส์ กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

รอยส์ กับความผิดหวังหนัก ๆ คล้ายจะเป็นของคู่กัน เขาคือนักเตะที่โชคร้ายที่สุดคนหนึ่ง ควรจะได้เป็นแชมป์โลกกับเพื่อน ๆ ทีมชาติเยอรมันไปแล้วเมื่อปี 2014 แต่อาการบาดเจ็บทำให้เขาหมดสิทธิ์ไปลุยบราซิลกับทีม

นั่นคือทีมอินทรีเหล็กชุดที่ก้าวขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแล้ว รอยส์ลงเล่นให้ทีมตลอดรอบคัดเลือก ยิงไป 5 จ่ายอีก 3 เป็นตัวหลักของ โยอัคคิม เลิฟ แต่อาการบาดเจ็บในเกมอุ่นเครื่องนัดสุดท้ายกับอาร์มีเนียก่อนลุยบราซิล 2014 ทำให้เขาดวงแตกไม่ได้ร่วมทีมไปคว้าแชมป์โลกบนแผ่นดินอเมริกาใต้

นั่นคือเรื่องที่น่าเห็นใจและเสียดายแทนเขาที่สุด เพราะเยอรมันชุดนั้นคือชุดสุดท้ายจนถึงตอนนี้ที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดเท่าที่จะไปถึงได้

ตำแหน่งแชมป์โลกคือที่สุดแล้ว และ รอยส์ ควรได้อยู่ในทีมชุดนั้น ได้ร่วมประทับตราแชมป์โลกกับทีม

หลายคนเห็นใจเขาจากครั้งนั้น..

แต่หลายคนเหล่านั้นก็คงไม่คิดเช่นกันว่าความโชคร้ายของ รอยส์ จะยังตามหลอกหลอนเขา อาการบาดเจ็บยังพาเขาหลุดออกจากทีมชุดสู้ศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปอีก 2 ครั้งทั้งในปี 2016 ที่ฝรั่งเศส และปี 2020 ที่กระจายเตะไปทั่วทั้งทวีป รวมทั้งฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์

แน่นอนมันคงไม่เสียดายเท่าครั้งฟุตบอลโลก 2014 ที่เยอรมันทะยานขึ้นไปถึงจุดสูงสุด และผลงานของทีมอินทรีเหล็กใน 3 ทัวร์นาเม้นต์นั้นก็ไปไม่ถึงดวงดาว ยูโร 2016 ตกรอบรองชนะเลิศ ยูโร 2020 ตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ฟุตบอลโลก 2022 ตกรอบแรก แต่นักฟุตบอลอย่างเขาก็คู่ควรกับการได้ไปแสดงฝีเท้าในเวทีใหญ่อยู่ดี

การบาดเจ็บช่างขยันพรากตัวเขาไปจากทัวร์นาเม้นต์เหล่านั้นเหมือนแกล้ง

มีเพียงฟุตบอลยูโร 2012 ที่โปแลนด์/ยูเครน กับ ฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซียเท่านั้นเป็นโปรไฟล์ทัวร์นาเม้นต์ใหญ่สำหรับ มาร์โค รอยส์

ถ้าจะบอกว่า รอยส์ เป็นนักฟุตบอลที่อาภัพที่สุดไหมคงไม่ใช่อยู่แล้ว เพราะเขาประสบความสำเร็จในแง่การเป็นที่ยอมรับอย่างไม่มีคำถามอะไรอีก และยังมีนักฟุตบอลอีกมากมายที่ไม่ได้เป็นที่ยอมรับมากเท่าเขา เพียงแต่เกียรติประวัติที่จับต้องได้เท่านั้นที่ไม่มีประดับบารมีอย่างที่ควรจะเป็น

ตลอดอาชีพนักฟุตบอลนับตั้งแต่ประเดิมสนามกับ รอต ไวสส์ อาห์เลน เมื่อปี 2007 ย้ายไป โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ปี 2009 และกลับมาอยู่กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ สโมสรในดวงใจเมื่อปี 2012 มาจนถึงวันนี้ เขามีเพียงแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล ฤดูกาล 2016/17 กับ 2020/21 และแชมป์เดเอฟแอล ซูเปอร์คัพ ปี 2013 กับ 2019 เท่านั้น

แชมป์บุนเดสลีกาได้เพียงเข้าใกล้ แต่ยังไม่เคยสำเร็จ

แชมป์ยุโรปหรือยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้เพียงมองเห็นมันอยู่ตรงหน้า แต่ยังไม่เคยสัมผัส

ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนเอาใจช่วยเขา อยากเห็นเขาเป็นแชมป์บุนเดสลีกาหรือแชมป์ยุโรปสักที

โดยเฉพาะแฟนบอลของดอร์ทมุนด์

รอยส์ คือลูกชายของเมืองดอร์ทมุนด์ เขาเกิดที่เมืองนี้ เติบโตที่เมืองนี้ เป็นเด็กฝึกหัดของสโมสรแห่งเมืองนี้

เขาเข้าร่วมทีมอะคาเดมี่ของสโมสรตั้งแต่อายุเพียง 7 ขวบ เติบโตขึ้นมาตามลำดับแต่ตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมเยาวชนอายุไม่เกิน 19 ปีของ รอต ไวสส์ อาห์เลน สโมสรร่วมแคว้นนอร์ธ ไรน์-เวสต์ฟาเลีย ที่อยู่ห่างออกไปเพียง 60 กิโลเมตร

ทะลุขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ที่นั่น สร้างผลงานโดดเด่นจนได้รับการจับตามองก่อนที่ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค แห่งบุนเดสลีกาจะเซ็นสัญญา 4 ปีดึงเขาเข้าสู่ทีม

สามฤดูกาลที่กลัดบัค รอยส์ ระเบิดฟอร์มจัดจ้าน เป็นดาวรุ่งที่ทุกทีมพากันพูดถึงว่าเป็นอนาคตของทีมชาติเยอรมัน และสุดท้ายก็เป็น โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่ดึงเขากลับบ้าน

การเซ็นสัญญาเกิดขึ้นในช่วงตลาดซื้อขายหน้าหนาวเดือนมกราคม ปี 2012 แต่การร่วมทีมอย่างเป็นทางการจริง ๆ เริ่มนับในช่วงซัมเมอร์ เขายังคงเล่นให้กลัดบัคไปจนจบฤดูกาล 2011/12

เพราะฉะนั้น แชมป์บุนเดสลีกาของทีมเสือเหลืองในฤดูกาลนั้น รอยส์ จึงยังไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่การย้ายทีมในครั้งนั้นคือการคืนถิ่นที่เขาเคยอยู่ และเป็นการกลับไปในฐานะนักฟุตบอลอายุ 23 ปีที่พร้อมเต็มที่แล้วสำหรับความรุ่งโรจน์

นั่นคือทีมเสือเหลืองยุค เยอร์เก้น คล็อปป์

อย่างไรก็ตาม ในอีกภาพหนึ่งนั้น แชมป์บุนเดสลีกา 2 สมัยติดต่อกันของดอร์ทมุนด์ก็ทำให้ บาเยิร์น มิวนิค มหาอำนาจตลอดกาลของประเทศไม่อาจอยู่เฉยได้เช่นกัน

ทีมเสือใต้มุ่งมั่นที่จะกลับมาทวงบัลลังก์และก็ทำมันได้อย่างหนักหน่วงที่สุดด้วยตำแหน่งทริปเปิลแชมป์ในฤดูกาล 2012/13 ในยุค จุ๊ปป์ ไฮยน์เกส

ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าหลังจากนั้นมันจะเป็นอย่างที่เห็น นั่นคือ บาเยิร์น ครองบัลลังก์ยาวนานไปอีก 10 ปีติดต่อกัน กลายเป็นแชมป์บุนเดสลีกา 11 สมัยซ้อนจนกระทั่งเพิ่งมาเสียมงกุฏให้ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ในฤดูกาลนี้

ทริปเปิลแชมป์ของบาเยิร์นเมื่อปี 2013 นั้นคู่ต่อสู้ในนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็คือ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์

ฤดูกาลแรกของ มาร์โค รอยส์ กับทีมเสือเหลืองจึงถือว่าเปรี้ยงปร้างด้วยเขาพาทีมทะลุเข้าไปชิงตำแหน่งเจ้ายุโรป

เกมนัดชิงที่สนามเวมบลีย์ ประเทศอังกฤษวันนั้น รอยส์ ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงร่วมกับเพื่อนร่วมทีมเสือเหลืองในชุดรุ่งเรือง

มี โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ เป็นกองหน้าตัวเป้า

มี เควิน โกรสส์ครอยท์ซ กับ ยาคุบ บลาซีคอฟสกี้ ร่วมเป็นกองกลางตัวรุก

มี สเวน เบนเดอร์ กับ อิลคาย กุนโดกาน ปักหลักคู่มิดฟิลด์

มาร์เซล ชเมลเซอร์ แบ๊กซ้าย ลูคัส พิสเซ็ค แบ๊กขวา คู่เซนเตอร์แบ๊ก มัทส์ ฮุมเมิลส์ กับ เนเวน ซูโบติช และ โรมัน ไวเดนเฟลเลอร์ เป็นผู้รักษาประตู

นี่คือชุดที่ยอดเยี่ยม และมีศักยภาพสูงพอที่จะเป็นแชมป์ยุโรปได้ อย่างที่สามารถผ่านรอบแบ่งกลุ่มที่มี เรอัล มาดริด แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ด้วยการเป็นแชมป์กลุ่ม และผ่าน ชัคตาร์ โดเน็ตสค์ มาลาก้า และ เรอัล มาดริด อีกครั้งบนเส้นทางสู่เวมบลีย์

ปัญหาก็คือ บาเยิร์น มิวนิค เองก็เก่งเหลือเกิน ด้วยผู้เล่นระดับโลกอย่าง อาร์เยน ร็อบเบน, ฟร้องก์ ริเบรี่, โธมัส มุลเลอร์, มานูเอล นอยเออร์, ฟิลิปป์ ลาห์ม, ดาวิด อลาบา และ บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ สุดท้ายแล้วทีมเสือใต้เด็ดขาดกว่าและคว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ

แม้จะผิดหวัง แต่ก็เป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลวนักสำหรับฤดูกาลแรกของ รอยส์ มองไปในขุมกำลังของทีมก็ยังเห็นอนาคตที่สดใส มีเทรนเนอร์ที่ดี มีทีมที่ดี

กระนั้นชีวิตก็เป็นแบบนี้ ไม่มีใครควบคุมมันได้หรอก เราอาจจะทำดีที่สุดแล้วแต่ยังมีทีมอื่นที่ดีกว่าเรา แม้เพียงทีมเดียวก็เพียงพอสำหรับการอกหัก ยืดวันรอคอยออกไปอีก

มันเกิดขึ้นตลอดกับ มาร์โค รอยส์ มีเพียงแชมป์เดเอฟเบ โพคาล 2 สมัยให้สะสม

แล้วในที่สุดหลังจาก 12 ปีของความทุ่มเทพยายาม รอยส์ก็ประกาศการร่ำลา เขาจะไม่ได้เล่นให้ทีมต่อไปอีกแล้วในฤดูกาลหน้า

บางทีการผ่านเข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในครั้งนี้อาจมีขึ้นเพื่อเขา

ราวกับมีใครมาเขียนบทละครไว้ เขาจะได้โอกาสสุดท้ายในวันสุดท้ายของฤดูกาลสุดท้ายกับดอร์ทมุนด์

และสนามเดียวกับที่เขาเคยผิดหวังในก้าวแรกสุดกับชุดเสือเหลือง

สนามเวมบลีย์..

ไม่มีใครรู้นะครับว่าบทละครนี้ถูกเขียนตอนจบเอาไว้อย่างไร เราไม่มีทางรู้ได้เลย และยิ่งต้องไม่ลืมว่าฝั่ง เรอัล มาดริด คู่ชิงก็มีบทที่เขียนรอเอาไว้เหมือนกัน โดยเฉพาะกับ โทนี่ โครส ที่จะลงเล่นในระดับสโมสรเป็นเกมสุดท้ายและจะแขวนสตั๊ตอำลาวงการลูกหนังหลังจบศึกยูโร 2024

บทใครก็บทมัน เส้นทางของใครก็เส้นทางของมัน ได้แต่หวังและอวยพรให้ทุกคนโชคดี

แต่ มาร์โค รอยส์.. คุณผิดหวังมาตลอด

แม้ความผิดหวังเหล่านั้นจะไม่อาจลดทอนคุณค่าความยิ่งใหญ่ของคุณได้ ทว่าหลาย ๆ คนก็ยังอยากเห็นรอยยิ้มของคุณ อยากเห็นคุณได้ชูถ้วยแชมป์ยุโรปขึ้นเหนือศีรษะ

พรุ่งนี้แล้ว.. วันสุดท้าย และเกมสุดท้ายของคุณในชุดเสือเหลือง

ยิ่งคิดก็ยิ่งใจหาย ใครที่เป็นแฟนบอลดอร์ทมุนด์คงจะยิ่งใจหาย และยิ่งภาวนาอยากให้คุณสมหวังสักที

ตังกุย

#เพิ่มเติมจากคอลัมน์กรุ่นกลิ่นหมึก

#หนังสือพิมพ์สตาร์ซอคเก้อร์รายวัน ฉบับวันที่ 10 พฤษภาคม 2567


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport