สิ้นยุคแชมเปี้ยนส์ ลีกแบบเดิมลงแล้วหลังจบรอบแบ่งกลุ่มเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ล่าสุดยูฟา ประกบคู่ รอบน็อคเอาต์ 16 ทีมสุดท้าย นั่นเองที่ทำให้ฟุตบอลถ้วยใหญ่ยักษ์ใบนี้กำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ มินิลีก เพิ่มจำนวนทีมในแบบ "สวิส โมเดล" ในซีซั่นหน้า
พัฒนาการของเจ้ายุโรปนี้น่าสนใจเมื่อมันมาไกลกว่าการแย่งแชมป์เพื่อประกาศความเป็นสุดยอดทีมของทวีปในแต่ละปี ด้วยเพราะ "ธุรกิจ" ฟุตบอลเติบโตมหาศาลเป็นหลักหมื่นล้านและแสนล้านบาทในทุกวันนี้
จาก ยูโรเปี้ยน คัพ ซีซั่น1956-1992 ...แชมป์ลีกเท่านั้นที่จะมาประกบคู่เตะนอคเอาต์ เหย้าเยือนกัน
ย้ำ แชมป์ลีกเท่านั้นจึงจะได้เล่นยูโรเปี้ยน คัพยุคก่อน
ซีซั่น1992-2023 แชมเปี้ยนส์ ลีก...แชมป์ลีกและอันดับในลีกมาเตะมินิ ลีก รอบแบ่งกลุ่มและน็อคเอาต์ จนถึงนัดชิงรวม 13 นัด (สำหรับทีมที่ไม่ต้องเล่นเพลย์ออฟคัดเลือกเข้ามา)
2024- "สวิส โมเดล" 36 ทีมสุดท้ายรอบแบ่งกลุ่ม+น็อคเอาต์ เพิ่มเป็น 15 แมตช์
-Swiss Model คืออะไร
หลักการที่ทางยูฟา ยึดมาจากการแข่งขันหมากรุกแบบสวิส คือมือวางไม่ต้องเจอกันหมดในกลุ่มเดียวกัน คือแบ่งกลุ่ม แต่ไม่มีการพบกันหมดหรือ round robin เหมือนสุ่มเลือกเจอประกบคู่ในกลุ่มเดียวกัน และประกบคู่กับกลุ่มอื่นๆ ก่อนรวมคะแนน และจัดอันดับ เพื่อเล่นรอบต่อไป
ระเบียบการแข่งขันยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีกซีซั่น 2024-25 หรือซีซั่นหน้าเป็นต้นไป จะคัด 36 ทีมจาก 53 สมาคมฟุตบอล จริงๆมี 55 สมาคมฟุตบอลภายใต้การบริหารของยูฟา เพียงแต่รัสเซีย(สงครามไง) และลิคเท่นสไตน์(เล่นในลีกสวิส)
- 36 ทีมมาจากไหน
คัดเลือกเส้นทางจากลีกในแต่ละชาติตามปกติ โดยยูฟาใช้ค่าสัมประสิทธิ์ย้อนหลังตั้งแต่ซีซั่น 2018-19 จนถึง 2022-23 เพื่อกำหนดจำนวนทีมจากแต่ละสมาคมฟุตบอล
คิดง่ายๆ แรงกิ้งชาติอันดับ 1-5 ลีกละ 4 ทีม
แรงกิ้งอันดับ 6 สามทีม แรงกิ้งอันดับ7-15 สองทีม และ16-55 ชาติละหนึ่งทีมคือแชมป์ลีก
แชมป์ ช.ป.ล และแชมป์ ย.ร.ป. จะอยู่ในกลุ่มนี้หากพวกเขาไม่ผ่านเส้นทางคัดเลือกในลีกนะครับ ถ้าผ่านก็ถือว่าเป็นโคต้าเดียว เช่น แมนฯซิตี้ เกิดได้แชมป์ ช.ป.ล ซีซั่นนี้ และยังแชมป์พรีเมียร์ลีก เท่ากับพวกเขาได้สิทธิ์เดียว ไม่มีเพิ่มให้ทีมอื่นๆในประเทศตัวเอง
นอกจากนี้ยูฟา เพิ่มโคต้าอีก 2 ทีมให้กับ 2 สมาคมฟุตบอลที่มีแรงกิ้งอันดับหนึ่งและสองในซีซั่น 2023-24 (เฉพาะซีซั่นนี้) นั่นหมายความว่าชาติที่มีโอกาสจะได้สิทธิ์นี้เพิ่มจากแรงกิ้งมีโอกาสเป็น สเปน, อิตาลี, เยอรมนี ที่จะแย่งสองโคต้าพิเศษนี้
ส่วนตัวแทนจากอังกฤษในช.ป.ล หลุดเข้ามาสองทีมคือ แมนฯซิตี้ และอาร์เซนอล ต้องไปให้ไกลสุดถึงชิงหรือรอบรอง ย่อมมีโอกาสเพิ่มแต้มในแรงกิ้งได้
โดยจากชาติที่มีแรงกิ้ง1-10 โคต้าแชมป์และอันดับในลีกจำนวน 29 ทีม + ทีมจากรอบคัดเลือกและเพลย์ออฟชาติที่มีแรงกิ้ง10-55 ทั้งหมด 94 ทีม
คัดเลือกได้ 5 ทีมจากกลุ่มแชมป์ลีกและ2 ทีมจากอันดับในลีก รวม 7 ทีม
สรุปๆ 36 ทีม
2- แชมป์ช.ป.ล และ แชมป์ ย.ร.ป.
2- แรงกิ้งจากค่าสัมประสิทธิ์เฉพาะซีซั่น 2023-24 จากสมาคมฟุตบอลแรงกิ้งอันดับ1และ 2(ชาติละ1)
10- แชมป์ลีกจากแรงกิ้งอันดับ1-10
6- รองแชมป์ลีก 6 แรงกิ้งอันดับ1-6
5 - อันดับสามในลีก 5 แรงกิ้งอันดับ1-5
4 - อันดับสี่ในลีก 4 แรงกิ้งอันดับ1-4
+ ทีมจากรอบคัดเลือกและเพลย์ออฟ 7 ทีม
-รอบแบ่งกลุ่ม "มินิ ลีก" เตะ 8 นัด
จาก 36 ทีมนั้นแข่งขันในรูปแบบของ "สวิส โมเดล" โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มๆละ 9 ทีม เกณฑ์ ทั้ง 36 ทีมยึดตามแรงกิ้งหรือค่าสัมประสิทธิ์ยูฟา รวมแชมป์เก่า
โดยแยก4 กลุ่มแรงกิ้งดังนี้
กลุ่ม1 ทีมแรงกิ้ง1-9 (แชมป์เก่า)
กลุ่ม 2 ทีมแรงกิ้ง 10-18
กลุ่ม3 ทีมแรงกิ้ง 19-27
กลุ่ม 4 ทีมแรงกิ้ง 28-36
การจับสลากประกบคู่แต่ละกลุ่มนั้นจะพบกับคู่แข่งขันในกลุ่มแรงกิ้งตัวเอง 2 ทีมจากนั้นจับกลุ่มแรงกิ้ง2-3-4 กลุ่มละ2 ทีม รวมทั้งหมดคือ 8 ทีม 8 แมตช์
ส่วนการเป็นเจ้าบ้านและทีมเยือนนั้นขึ้นกับการจับสลากแต่ละครั้งโดยยังไงต้องเล่นในบ้านตัวเอง 4 แมตช์ นอกบ้าน 4 แมตช์ เพียงแต่จะพบกับคู่แข่งขันได้แค่ 1 นัด เหย้าหรือเยือนกับกับการจับสลาก
ยกตัวอย่างเช่นถ้าบาเยิร์น มิวนิค จับสลากเจอ แมนฯซิตี้ (คาดว่าอยู่กลุ่มเดียวกัน) เตะแค่นัดเดียว ก็ดูว่าจับแล้วเล่นในบ้านหรือนอกบ้าน เท่านั้น เจอกันแล้ว ไม่ต้องเจออีก จนกว่าจะเป็นรอบน็อคเอาต์โน่น
นั่นเท่ากับว่าทุกทีมจะเจอคู่แข่งที่แตกต่างกันออกไปทั้งหมด 8 ทีมใน4 กลุ่มๆละ2 ทีมนั่นเอง แค่ว่าตัวเองเล่นในบ้านเจอทีมไหน4 ทีม และนอกบ้านเจอทีมไหน 4 ทีม
ดูงงๆในตอนแรกแน่นอน เดี๋ยวก็ชินแต่แบบนี้มันก็สนุกไปอีกแบบ
เมื่อแข่งขันครบ 8 นัด (สิ้นเดือนม.ค.2025) รวมคะแนนทั้งหมด
ทีมมีแต้มสูงสุด 1-8 เข้าไปรอ16 ทีมสุดท้าย
ทีมอันดับ 9-24 ประกบคู่เพลย์ออฟเหย้าเยือน จะได้ 8 ทีม
จากนั้นจึงประกบคู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย, รอบก่อนรองและรอบรองตามปกติ
นั่นคือภาพอนาคตยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก 2024-25 แบบใหม่
แข่งเยอะขึ้น, เงินมากขึ้นตาม
ส่วนช.ป.ล 2023-24 ล่าสุดอยู่ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ยูฟา ประกบคู่จับสลากเรียบร้อยแล้วที่ นียง ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
ปอร์โต้ (โปรตุเกส) - อาร์เซน่อล (อังกฤษ)
นาโปลี (อิตาลี) - บาร์เซโลน่า (สเปน)
เปแอสเช (ฝรั่งเศส) - เรอัล โซเซียดาด (สเปน)
อินเตอร์ (อิตาลี) - แอต.มาดริด (สเปน)
พีเอสวี (เนเธอร์แลนด์) - ดอร์ทมุนด์ (เยอรมนี)
ลาซิโอ (อิตาลี) - บาเยิร์น มิวนิค (เยอรมนี)
เอฟซี โคเปนเฮเก้น (เดนมาร์ก) - แมนฯ ซิตี้ (อังกฤษ)
แอร์เบ ไลป์ซิก (เยอรมนี) - เรอัล มาดริด (สเปน)
โปรแกรมนัดแรก 13-14 และ 20-21 ก.พ.2024
นัดสอง 5-6 และ 12-13 มี.ค.2024
จับสลากรอบ8 ทีมและรอบรอง ครั้งเดียว
ศุกร์ที่ 15 มี.ค.2024
ชิงชนะเลิศ 1 มิ.ย. 2024 ที่เวมบลีย์
ผลการจับสลากประกบคู่ที่ออกมาดูเหมือน แมนฯซิตี้ มีเฮงอีกแล้ว เจอคู่แข่งที่ไม่แข็งแกร่งมากนัก มีโอกาสตะลุยไปได้สุดทางเหมือนกัน
แม้ฟอร์มในพรีเมียร์ลีกยังไม่เปรี้ยงปร้างมากนัก แต่พวกเขายังเป็น "เต็งแชมป์" ช.ป.ล ตามด้วย บาเยิร์น เต็งสอง และ เรอัล มาดริด เต็งสาม โดยอาร์เซนอล เต็ง 4
คำถามคือว่า....แมนเชสเตอร์ ซิตี้ "แชมป์เก่า" จะป้องกันแชมป์ได้หรือไม่
JACKIE