ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีอย่างจริงใจต่อ แมนฯ ซิตี้ ที่คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และนั่นหมายถึง "ทริปเปิ้ลแชมป์" อย่างยิ่งใหญ่อีกด้วย
ความจริงที่ต้องยอมรับคือพวกเขายอดเยี่ยมบรรลัยเลยนะครับ สมกับที่ผมเรียกสโมสรนี้ว่า...
"โคตรทีมไร้เทียมทาน"
และต่อไปคือสิ่งที่อยากจะบอก หลังจากทีมสีฟ้าแห่งแมนเชสเตอร์เฉือนเอาชนะ อินเตอร์ มิลาน 1-0 ในนัดชิงชนะเลิศถ้วยหูยานใหญ่ที่ อิสตันบูล !!!
1.ตอนแรกคิดว่า แมนฯ ซิตี้ จะเจองานง่ายกว่านี้ และชนะง่ายกว่านี้
ด้วยความเหนือกว่าในทุกเหลี่ยมมุม ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพของผู้เล่น และผู้จัดการทีม สภาพความพร้อม และฟอร์มการเล่น
ว่าแล้วขออนุญาตชื่นชมทีมงูใหญ่ที่วางแผนการเล่นมาต่อกรกับ "เรือใบสีฟ้า" ได้ไฉไลเป็นบ้า
เหลี่ยมเล่ห์ และกลยุทธ์ของ อินเตอร์ มิลาน จากขุมกบาลของ ซิโมเน่ อินซากี้ สามารถใช้เป็นกรณีศึกษาของทีมอื่นเวลาต้องเซิ้งแข้งกับทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ได้เลยนะครับ
2. งูใหญ่ใช้การบดบี้ขยี้ปุ่มกระสันอย่างบ้าคลั่งในแดนกลาง ไม่ยอมให้ผู้เล่นของ แมนฯ ซิตี้ ที่ขึ้นชื่อเรื่องการครองบอลมีพื้นที่และเวลา
มิเท่านั้นยังใช้วิธีการเข้าบอลอย่างหนักหน่วงแบบถึงลูกถึงเมียอีกต่างหาก
เกมรับอัดแน่นด้วยเซ็นเตอร์แบ็ค 3 ตัว โดยที่ 1 คนอย่าง ฟรานเชสโก้ อาแซร์บี้ มีหน้าที่ "จับตาย" หัวหอกมหันต์ภัยอย่าง เออร์ลิ่ง ฮาลันด์
สถิติการวิ่งพล่านของ อินเตอร์ฯ มีระยะทางที่สูงกว่านะครับ
แมนฯ ซิตี้ เจอความโรคจิตแบบนี้เข้าไปจึงต่อบอลทำเกมรุกกันติดๆ ขัดๆ หาจังหวะจบแบบเหมาะเหม็งไม่เจอเลยเกือบตลอดทั้งเกม
3.ไม่เพียงแต่จะเข้าประชิดตัวเร็วด้วยความแรงพลางปิดพื้นที่ได้อย่างแน่นหนา
ผู้เล่นทีมมะโรงยังกล้าเซ็ตบอลกันตั้งแต่ในกรอบเขตโทษ แถมทำได้ดีเสียด้วยทั้งที่ถูกคู่แข่งบีบสูงแล้วเพรสส์เข้าใส่
ผู้รักษาประตูอย่าง อันเดร โอนาน่า กล้าเล่น และออกบอลด้วยเท้าได้แม่นยำทั้งสั้นและยาว น่าซื้อมาร่วมทีมยิ่งนัก
เกมของ อินเตอร์ฯ จึงไม่เป็นรองมากนัก โดยหาจังหวะเข้าทำแบบเจ็บๆ ได้หลายครั้ง
ปัญหาคือ...ดีแต่ป้อ ล่อไม่เป็น !!!
เฉพาะอย่างยิ่งกองหน้าอย่าง โรเมลู ลูกากู ที่ลงมาเป็นตัวสำรองแทน เอดิน เชโก้ ที่บาดเจ็บ
"พี่ตู้" โขกจ่อๆ ไปตรงตัว เอแดร์ซ่อน แถมดันไปยืนเกะกะขวางทางพวกเดียวกันเองซะอย่างนั้น
คิดแล้วก็เสียดายแทน เพราะ อินเตอร์ มิลาน มีโอกาสทะลวงตาข่ายมากกว่าแชมป์พรีเมียร์ลีกเสียอีก
4. เควิน เดอ บรอยน์ วิ่งอยู่ดีๆ ก็ "ปึ้ด" นะครับ
กล้ามเนื้อต้นขากระตุกจนต้องเขยกออกจากสนามเพียงแค่ 36 นาที นั่นยิ่งทำให้เกมรุกของ แมนฯ ซิตี้ รวมถึงเครื่องจักรถล่มตาข่ายอย่าง เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ลดทอนประสิทธิภาพลงไปอีก
เรียนตามตรงว่ามันไม่ใช่เกมที่ แมนฯ ซิตี้ ระเบิดความสยดสยองออกมาสักเท่าไหร่
แต่พวกเขามีชัยเพราะความเขี้ยวยาวลากดินของตัวเอง เพราะตลอดทั้งเกมมีจังหวะตะบันแบบเต็มๆ แค่ 2 ครั้งเท่านั้นเอง
ครั้งแรก ไอ้หนุ่มไวกิ้งผู้กินนมนางยักษ์ตั้งแต่เด็ก หลุดไปซัดด้วยซ้ายติดนายทวารคู่แข่ง
และครั้งต่อมาคือประตูชัยที่มี "รู" ให้ลูกยิงของ โรดรี้ เล็ดลอดเข้าไปน้อยมาก
นี่แหละครับ คุณสมบัติของโคตรทีม คือมีโอกาสแล้วไม่พลาด
5."ทริปเปิ้ลแชมป์" ของ แมนฯ ซิตี้ ไม่อุดมด้วยดราม่าเหมือน "ทริปเปิ้ลแชมป์" ของ แมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อ 1999
แต่พวกเขาได้มาแบบมี "คลาสส์" ในทุกรายการ
พรีเมียร์ลีก มาเร่งเครื่องและเข้าเบรคในช่วงโค้งสุดท้าย ก่อนพุ่งแซง อาร์เซน่อล เข้าเส้นชัยแบบเหลือๆ
เอฟเอ คัพ ก็ทางสะดวก ก่อนเล่นแค่ 70% ในนัดชิงฯ ก็เพียงพอจะเอาชนะอริร่วมเมือง
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก โค่นมาทั้ง บาเยิร์น มิวนิค และราชันแห่งรายการนี้อย่าง เรอัล มาดริด แบบไม่ระบมหัวแม่ตีน แม้นัดชิงฯ จะเล่นไม่ดีนัก แต่ก็ยังเก๋าพอที่จะมีชัยเหนือคู่แข่งที่อุตส่าห์โชว์ฟอร์มได้ไฉไลแล้วแท้ๆ
หวังอย่างยิ่งครับว่าความยิ่งใหญ่ครั้งนี้จะมำให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เกิดอาการอิ่มตัวแล้วอยากออกเดินทางไปหาความท้าทายใหม่ๆ บ้าง
สาธุ
บอ.บู๋