เป็นอันว่าไม่มีทีมไหนหยุด แมนฯ ซิตี้ ได้จริงๆสำหรับซีซั่นนี้เมื่อพวกเขาประกาศศักดาคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้สำเร็จตามความคาดหมายจากการสยบ อินเตอร์ มิลาน 1-0 ในนัดชิงชนะเลิศถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก ที่สนาม อตาเติร์ก โอลิมปิก สเตเดี้ยม ในกรุง อิสตันบูล , ตุรเคีย เมื่อวันเสาร์ที่ 10 มิ.ย.
แม้อาจไม่ใช่เกมที่ เรือใบสีฟ้า เล่นได้อย่างไหลรื่นเหมือนหลายๆนัดเนื่องจาก งูใหญ่ ตั้งรับกันได้อย่างรัดกุมตามสไตล์ทีมจากเมืองพิซซ่า แต่ โรดรี้ กลายมาเป็นฮีโร่ช่วยให้ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า บรรลุภารกิจที่ยิ่งใหญ่ได้สำเร็จอันเป็นการบ่งบอกว่ามันเป็นยุคทองของทีมจาก เอติฮัด สเตเดี้ยม อย่างแท้จริง และทำให้พวกเขาเป็นทีมที่สองจากเมืองผู้ดีที่สร้างผลงานชิ้นโบแดงได้ต่อจาก แมนฯ ยูไนเต็ด ทีมร่วมเมืองซึ่งประสบความสำเร็จในปี 1999
1. คิดมากอีกหรือเปล่า เป๊ป?
มีเซอร์ไพรส์เล็กๆจนได้สำหรับโผ 11 ตัวจริงของ แมนฯ ซิตี้ ซึ่ง กวาร์ดิโอล่า เลือกดร็อป ไคล์ วอล์คเกอร์ นักเตะที่มีสปีดเร็วที่สุดออกจากทีมตัวจริงทั้งๆที่ในช่วงท้ายซีซั่นเขาโชว์ฟอร์มได้อย่างแข็งแกร่งจนได้รับการสรรเสริญ
แม้ก่อนหน้านี้ ดาวเตะทีมชาติ อังกฤษ จะพลาดการลงซ้อมเนื่องจากเจ็บหลัง แต่ไม่ใช่ปัญหาที่รุนแรง และมีการยืนยันว่าเขาฟิตมากพอที่จะลงเล่นได้เนื่องจากกลับมาลงซ้อมได้ตามปกติ
อย่างไรก็ดี กุนซือสแปนิชเลือกส่ง เนธาน อาเก้ ที่หายเจ็บแล้วให้จับคู่กับ มานูเอล อาคันจี รับมือ อินเตอร์ มิลาน และเหมือนเป็นการคิดมากอีกครั้งในเกมบิ๊กแมตช์ของ กวาร์ดิโอล่า ซึ่งถูกระบุว่ามักเปลี่ยนแปลงบางสิ่งที่ดีอยู่แล้วในเกมใหญ่เสมอ
รวมแล้ว เรือใบสีฟ้า ปรับทัพสองรายจากเกม เอฟเอคัพ นัดชิงชนะเลิศ ซึ่งแน่นอนว่า เอแดร์ซอน ได้กลับมาเฝ้าเสาแทน สเตฟาน ออร์เตก้า ขณะที่ อาเก้ ลงเล่นแทน วอล์คเกอร์
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร บอกได้เลยว่า โรดรี้ กลายเป็นนักเตะคนโปรดของ กวาร์ดิโอล่า ไปแล้วเนื่องจากเกมนี้เป็นเกมที่ 52 ที่เขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงให้กับเจ้านายสกินเฮดตลอดทุกรายการในซีซั่นนี้โดยหากจะเทียบกันในหนึ่งซีซั่น มีแค่ ลิโอเนล เมสซี่ รายเดียว (ไม่นับรวมนายทวาร) ที่ กวาร์ดิโอล่า ส่งลงสนามเป็นตัวจริงมากกว่า 57 นัดในซีซั่น 2011/12
2. เชโก้ นำทัพ อินเตอร์ ยิงทีมเก่า
อินเตอร์ มิลาน ภายใต้การคุมทีมของ ซิโมเน่ อินซากี้ มีการเปลี่ยนแปลงทีมเล็กน้อยโดยสโมสรจาก เซเรียอา ส่ง มาร์เซโล่ โบรโซวิช ลงเล่นเป็นตัวจริงในแดนกลางแทน เฮนริค มคิตาร์ยาน หลังจากเกมล่าสุดในรายการนี้ของรอบตัดเชือกนัดสอง กองกลางทีมชาติ โครเอเชีย ได้ลงบู๊เป็นตัวสำรอง
พร้อมกันนี้ โบรโซวิช ในวัย 30 ปีได้รับบทกัปตันทีมในเกมสำคัญนี้ด้วย ขณะที่ มคิตาร์ยาน ซึ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บมีชื่อนั่งอยู่ข้างสนามเช่นเดียวกับ ฆัวกิน กอร์เรอา และ มิลาน สคิเนียร์
สำหรับตำแหน่งหัวหอก เอดิน เชโก้ อดีตกองหน้า แมนฯ ซิตี้ ได้ออกสตาร์ตตามคาดร่วมกับ เลาตาโร่ มาร์ติเนซ โดยที่ โรเมลู ลูกากู รอถูกเรียกตัวลงบู๊ที่ซุ้มม้านั่ง
3. สถิติใหม่นัดชิง
จากการจัดทัพของทั้งสองทีม รวมแล้วมีการใช้งานนักเตะ 15 สัญชาติจาก 22 ชีวิตซึ่งกลายเป็นสถิติใหม่ของเกมชิงถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก เนื่องจากก่อนหน้านี้มีนักเตะคู่ชิงชนะเลิศส่งพ่อค้าแข้งลงสนามมากที่สุดรวมทั้งสิ้น 14 สัญชาติในปี 2005 และ 2022
อย่างไรก็ดี ทั้ง แมนฯ ซิตี้ และ อินเตอร์ ต่างก็เป็นทีมจอมเก๋าเขี้ยวลากดินด้วยกันทั้งคู่เนื่องจาก เรือใบสีฟ้า มีอายุเฉลี่ยทีมตัวจริงในเกมนี้ที่ 28 ปี 137 วัน ขณะที่ งูใหญ่ มีอายุเฉลี่ย 29 ปี 105 วันซึ่งชี้ให้เห็นว่าต่างก็ไม่ใช่ทีมเด็กอมมือไร้ประสบการณ์
จากตัวเลขดังกล่าวหมายความว่าสองทีมคู่ชิงชนะเลิศมีอายุเฉลี่ยของนักเตะ 11 คนแรกที่วัย 28 ปี 303 วันซึ่งถือเป็นอายุเฉลี่ยที่มากที่สุดเป็นอันดับสี่ของเกมชิงถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก
4. เดอ บรอยน์ โชคร้ายซ้ำสอง
กลายเป็นปัญหาน่าหนักใจแทน แมนฯ ซิตี้ ไม่น้อยเนื่องจากระยะหลังจะเห็นได้ว่า เควิน เดอ บรอยน์ เริ่มมีสภาพร่างกายไม่สู้ดีทั้งบาดเจ็บบ่อยครั้ง และมีอยู่หลายเกมที่เขาไม่อาจอยู่ในสนามได้ครบ 90 นาที
อย่างเกมที่ อตาเติร์ก โอลิมปิก สเตเดี้ยม ก็เป็นอีกครั้งที่จอมแอสซิสต์ทีมชาติ เบลเยี่ยม ลงบู๊ได้แค่ 35 นาทีก็ต้องเดินออกจากสนามเนื่องจากบาดเจ็บโดยมี ฟิล โฟเด้น ได้ลงเล่นแทน
และหากยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้ในนัดชิงชนะเลิศซีซั่น 2020/21 เดอ บรอยน์ ก็เดี้ยงในนาทีที่ 60 โดยมี กาเบรียล เชซุส ลงไปแทนที่ซึ่ง แมนฯ ซิตี้ แพ้ เชลซี 1-0
จบครึ่งแรกที่อิสตันบูล อินเตอร์ ทำงานได้ตามเป้าด้วยการยันเสมอได้ 0-0 ในฐานะทีมที่เป็นรองซึ่งไม่เปิดโอกาสให้ แมนฯ ซิตี้ ได้สร้างปัญหาให้กับพวกเขามากนักนอกจากการครองบอลที่ เรือใบสีฟ้า เหนือกว่าตามฟอร์ม 62:38% แต่ทั้งสองทีมได้ยิงประตูเท่ากัน 4 ครั้ง โดย แมนฯ ซิตี้ ส่งบอลเข้ากรอบได้มากกว่า 2:1 ครั้ง ขณะที่ท่านเปาไม่จำเป็นต้องแจกใบเหลืองเลยแม้แต่ใบเดียว
นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่าตลอด 45 นาทีแรก ทีมของ กวาร์ดิโอล่า หาโอกาสจะแจ้งที่จะส่งบอลเข้าประตูได้ลำบากโดยเฉพาะ อิลคาย กุนโดกัน ที่โชว์ฟอร์มแจ่มในนัดชิงดำ เอฟเอคัพ เงียบสนิทไม่มีบทบาทเลย ฉะนั้นแล้วจึงเป็นหน้าที่ของ กวาร์ดิโอล่า ที่จะต้องเค้นมันสมองแก้เกมให้ทีมในครึ่งหลังให้ได้
อย่างไรก็ดี งูใหญ่ ครองตำแหน่งทีมที่เปิดตัวในครึ่งแรกไม่สวยสำหรับรายการนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้วเนื่องจากเป็นเกมที่ 8 จาก 13 เกมแล้วที่พวกเขาคลำเป้าใน 45 นาทีแรกไม่ได้ซึ่งเป็นผลงานที่เลวร้ายที่สุด แต่ เรือใบสีฟ้า ก็ใช่ว่าจะเหนือกว่าเนื่องจากเป็นเกมที่ 7 จาก 13 เกมที่พวกเขาเช็คบิลไม่ได้ในครึ่งแรกของถ้วยหูใหญ่สำหรับซีซั่นนี้
5. ประตูทองของ โรดรี้
ครึ่งหลัง อินซากี้ แก้เกมก่อนโดยเลือกส่ง ลูกากู ลงบู๊แทน เชโก้ ในนาทีที่ 57 แต่กลายเป็นว่า เรือใบสีฟ้า ได้ประตูที่ต้องการจาก โรดรี้ ในนาทีที่ 68 จากจังหวะที่ แบร์นาร์โด้ ซิลวา ทะลุเข้าเขตโทษด้านขวาแล้วหักคืนให้ดาวเตะสแปนิชปรี่เข้าซัดระยะ 16 หลาไม่เหลือพา แมนฯ ซิตี้ เฮลั่น
จากประตูที่ว่าทำให้ โรดรี้ เป็นนักเตะเลือดกระทิงรายที่ 19 ที่สอยตาข่ายในเกมชิงดำถ้วยหูใหญ่ได้ และแน่นอนว่าไม่มีพ่อค้าแข้งจากชาติไหนอีกแล้วที่ยิงประตูในเกมที่ว่านี้ได้มากกว่าดาวเตะจากผืนแผ่นดินสเปน
ขณะเดียวกัน โรดรี้ เป็นนักเตะสแปนิชรายที่สองด้วยที่คลำเป้าในนัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ลีก ให้กับทีมจาก พรีเมียร์ลีก ได้ต่อจากที่ ชาบี อลอนโซ่ ทำได้ให้กับ ลิเวอร์พูล นัดบู๊กับ มิลาน ในปี 2005 ที่ อิสตันบูล เช่นกัน
นอกจาก โรดรี้ ที่ได้ตำแหน่ง แมน ออฟ เดอะ แมตช์ แล้ว จอห์น สโตนส์ เป็นอีกรายของ เรือใบสีฟ้า ที่โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในเกมนี้เนื่องจากมีสถิติระบุว่าเขาเลี้ยงบอลหนีคู่แข้งได้แบบ 100% ตลอดทั้งหกครั้งซึ่งนักเตะคนสุดท้ายที่ทำได้แบบนี้ในเกมชิงดำถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก คือ ลิโอเนล เมสซี่ นัดกำราบ ยูเวนตุส 3-1 ในปี 2015 ซึ่งสตาร์ละตินทำได้ 10 ครั้ง
สำหรับ กวาร์ดิโอล่า เขาได้ชื่อว่าเป็นนายใหญ่สแปนิชที่ได้แชมป์รายการนี้กับทีมนอกแผ่นดินเกิดต่อจาก ราฟาเอล เบนิเตซ ที่ประสบความสำเร็จกับ ลิเวอร์พูล ในปี 2005 ที่ อิสตันบูล เช่นกัน
แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้น กวาร์ดิโอล่า สร้างประวัติศาสตร์เป็นกุนซือคนแรกที่ได้ทริปเปิ้ลแชมป์สองหนเนื่องจากปี 2009 เขาพา บาร์เซโลน่า กวาดสามแชมป์มาครองได้เช่นกัน
ขณะเดียวกัน แมนฯ ซิตี้ เป็นทีมที่แปดที่ได้สามแชมป์ต่อจาก เซลติก (1967) , อาแจ็กซ์ (1972) , พีเอสวี (1988) , แมนฯ ยูไนเต็ด (1999) , บาร์เซโลน่า (2009, 2015) , อินเตอร์ (2010) และ บาเยิร์น (2013,2020)
หลังจบเกมที่อิสตันบูล 90 นาที สถิติเผยว่าทีมแชมป์ครองบอลได้มากกว่า 56:44% แต่รองแชมป์ได้ยิงมากกว่า 13:7 ครั้ง และส่งบอลเข้ากรอบได้มากกว่าเช่นกัน 5:4 ครั้ง