ไร้ปาฎิหาริย์ที่เบร์นาเบว ! 5 ประเด็นร้อน ลิเวอร์พูล ตกรอบแชมเปี้ยนส์ ลีก

ไร้ปาฎิหาริย์ที่เบร์นาเบว ! 5 ประเด็นร้อน ลิเวอร์พูล ตกรอบแชมเปี้ยนส์ ลีก
ลิเวอร์พูล ต้องโบกมือลาศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ไปเรียบร้อยแล้ว หลังออกไปโดน เรอัล มาดริด สอยด้วยสกอร์ 0-1 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย นัด 2 ที่สนามซานติอาโก้ เบร์นาเบว เมื่อวันพุธที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา สกอร์รวมสองนัดแพ้ยับ 2-6 โดยการตกรอบโทรฟี่ "บิ๊กเอียร์" ทำให้สถานการณ์ที่พวกเขาจะกลับมาแข่งรายการนี้ในซีซั่นหน้าค่อนข้างมืดมน เพราะฟอร์มในลีกก็ไม่ค่อยดีคะแนนห่างจากท็อปโฟร์ 6 แต้ม แถมโปรแกรมหลังเกมฟีฟ่าเดย์ก็โหดสัสรัสเซีย บอกเลยใครที่เป็นสาวก "เดอะ ค็อป" ต้องทำใจที่จะไม่ได้เห็นทีมรักโลดแล่นในทัวร์นาเมนต์นี้อย่างน้อย 1 ซีซั่น

1. หน้าสี่ไม่มีเสียว

คล็อปป์ ตัดสินใจที่จะเสี่ยงในการจัดแนวรุก 4 คนลงสนามพร้อมกัน นำโดย โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ดาร์วิน นูนเญซ, โคดี้ กัคโป และ ดีโอโก้ โชต้า งานนี้ทีมเยือนหวังที่จะเปิดแผลแรกเจ้าบ้านให้เร็วที่สุด แต่สุดท้ายก็สะดุดทำอะไรไม่ได้

การจับกองหน้าลงสนามพร้อมกัน 4 คนอาจจะได้ผลหากเกิดขึ้นในช่วง 2-3 ฤดูกาลที่ผ่านมา แต่สำหรับฤดูกาลปัจจุบันฟอร์มของพวกเขายังกะท่อนกะแท่นหาความคงเส้นคงวาไม่ได้ทำให้การมีแนวรุกเยอะยิ่งเกิดความสับสน

ความเร็ว และความคล่องตัวของ นูนเญซ สามารถป่วนกองหลังของ "ราชันชุดขาว" ได้พอสมควร ขณะที่ "บังโม" พยายามปั้นเกมรุก และสร้างโอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีม แต่ทุกอย่างไม่ค่อยเข้าทาง ทำให้จังหวะผ่านบอลขาดๆ เกินๆ 

สำหรับคนที่น่าผิดหวังที่สุดคงหนีไม่พ้น โชต้า ที่แทบไม่สร้างประโยชน์ให้กับเกมรุกของ "เดอะ เร้ดส์" เลย แถมยังขยันทำฟาวล์อีกต่างหาก ต้องยอมรับว่านับตั้งแต่ที่ หัวหอกชาวโปรตุกีส หายเจ็บกลับมา ยังไม่สามารถเรียกฟอร์มเก่งได้เลย 

2.  สมราคาราชัน "บิ๊กเอียร์"

คาร์โล อันเชลอตติ แสดงให้เห็นถึงกึ๋นยอดโค้ชอย่างแท้จริง เพราะในแมตช์นี้ เรอัล มาดริด ไม่จำเป็นต้องเปิดเกมบุกอะไรมากนัก แต่พวกเขายังคงสามารถกดดันทีมเยือนได้ตลอด โดยเฉพาะในจังหวะการเล่นสวนกลับที่อันตรายทุกครั้ง

ตั้งแต่ผู้รักษาประตูไปจนถึงกองหน้า พวกเขาเล่นด้วยความนิ่ง เต็มไปด้วยความเก๋า ไม่มีการเล่นแบบโชว์หรือติดประมาท พยายามเน้นความแน่นอน และส่งบอลให้แม่นยำ จากนั้นก็แค่รอจังหวะเพื่อหาช่องว่างในการเข้าทำ ซึ่งจะว่าไปแล้ว "โลส บลังโกส" น่าจะได้มากกว่า 1 ประตูด้วยซ้ำในแมตช์นี้

จังหวะการยิงของ วินิซิอุส กับ เอดูอาร์โด้ กามาวินก้า ต้องบอกเลยว่าน่าจะเป็นประตูมากๆ งานนี้แฟนบอล "หงส์แดง" ต้องขอบคุณ อลีสซง เบ็คเกอร์ ที่โชว์ซูเปอร์เซฟทั้งสองจังหวะ ขณะที่เกมรับต้องบอกเลยว่าสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ แม้บางครั้งอาจมีพลาดไปบ้างแต่ก็สามารถกลับมาแก้ไขสถานการณ์ได้ทัน

ผลงานในแมตช์นี้เป็นการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงคำว่า "ราชัน" ถ้วยแชมเปี้ยนส์ ลีก และเส้นทางในการลุ้นสร้างความยิ่งใหญ่ในการคว้าแชมป์โทรฟี่นี้สมัยที่ 15 ยังคงเปิดกว้างสำหรับ เรอัล มาดริด 

3. เทรนต์ แทบทรุดยากหยุด วินิซิอุส

พูดกันแบบแฟร์ๆ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเขาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับ วินิซิอุส จูเนียร์ แนวรุกชาวบราซิเลียน ในช่วง 2-3 ฤดูกาลที่ผ่านมา

การที่แบ็กขวาเลือดผู้ดี ต้องสู้กับหนึ่งในปีกที่อันตรายที่สุดในโลกบอกเลยว่าเป็นงานที่สุดหินของเขาจริงๆ เพราะมีหลายครั้งที่ วินิซิอุส สามารถใช้ทักษะและความรวดเร็วหลอกล่อกระชากบอลหนี "หนุ่มเทรนต์" ได้แบบสบายๆ 

จะเห็นได้ชัดว่าฟอร์มของ ดาวเตะทีมชาติอังกฤษ ค่อนข้างสับสนและเล่นด้วยความกระวนกระวายตั้งแต่ต้นเกมในการรับมือกับ แข้งของเบอร์ 20 ของเจ้าบ้าน แม้ว่าในแมตช์ล่าสุด "เทรนต์" จะทำผลงานได้พอใช้ แต่อย่าลืมว่า เรอัล มาดริด ไม่ได้เน้นเกมรุกอย่างบ้าคลั่งเหมือนเกมที่แอนฟิลด์ 

การที่ต้องระวัง วินิซิอุส ทำให้ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ไม่กล้าขึ้นเกมรุกเต็มตัว แถมจุดที่น่าผิดหวังที่สุดก็คือการเปิดบอลที่ขาดประสิทธิภาพและความแม่นยำทำให้ทีมไม่ได้เปรียบ 

แน่นอนว่าการตกรอบ แชมเปี้ยนส์ ลีก คงทำให้แบ็กขวาทีมชาติอังกฤษ ได้รู้แจ้งเห็นจริงว่าเขาจะต้องกลับไปซ้อมให้หนักยิ่งขึ้นทั้งการเล่นเกมรับให้เหนียวแน่น และมีสมาธิ รวมทั้งเกมรุกที่ต้องเฉียบคมมากกว่านี้ 

4. เปลี่ยน นูนเญซ ออกทำไม ? 

เชื่อว่าแฟนบอลลิเวอร์พูลหลายคนคงตั้งข้อสงสัยว่าทำไม คล็อปป์ ถึงตัดสินใจถอด นูนเญซ ออกทั้งๆ ที่ช่วงครึ่งแรกเขาสามารถปั่นป่วนแนวรับ เรอัล มาดริด ได้ดีมากๆ แถมต้นครึ่งหลังก็ยังมีจังหวะเล่นงานกองหลังเจ้าบ้านด้วย

หัวหอกชาวอุรุกวัย เกือบที่จะเบิกประตูแรกให้กับต้นสังกัดจากการยิงสุดสวยแต่โดน ติโบ กูร์กตัวส์ ปัดออกไปได้อย่างหวุดหวิด นอกจากนี้ความเร็วและความคล่องตัวของเขาทำให้ "โลส บลังโกส" ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

แน่นอนว่าในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้าย นายใหญ่ชาวเยอรมัน จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแผนเพื่อเพิ่มความสดให้กับทีม และเป็นที่เข้าใจได้ในการถอด โชต้า ออก และส่ง ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ลงมาแทน แต่การใส่ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ เข้ามาแทน นูนเญซ ถือว่าเป็นเรื่องน่าแปลกมากๆ

บอกตามตรงหาก นูนเญซ ยังอยู่ในสนามมีความเป็นไปได้ที่ ลิเวอร์พูล น่าจะมีโอกาสในการทำประตู แต่การถอดเขาออกทำให้แนวรับของเจ้าบ้านเล่นสบายยิ่งขึ้น ที่สำคัญพวกเขายังกล้าขึ้นมาเติมเกมได้แบบไม่กลัวว่าจะโดนสวนกลับซะด้วย 

จะว่าไปแล้วหลังจบเกมนี้ "หงส์แดง" ก็ไม่มีโปรแกรมลงสนามอีกเลยจนกระทั่งต้นเดือนเมษายน ฉะนั้นการให้ ดาวยิงทีมชาติอุรุกวัย ได้เล่นจนจบเกมน่าจะดีกว่าการเลือกที่จะเปลี่ยนตัวเขาออกไป 

5. ความหวังกลับไปแชมเปี้ยนส์ ลีก มืดมน

โอกาสที่สาวก "เดอะ ค็อป" จะได้นอนดึกในช่วงวันอังคารกับพุธในฤดูกาลหน้าเริ่มน้อยลงไปทุกที หลังจากที่ "หงส์แดง" ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ในการเยือนถิ่นซานติอาโก้ เบอร์นาเบว 

สถานการณ์ในพรีเมียร์ลีก ณ เวลานี้ ลิเวอร์พูล ยังคงรั้งอันดับ 6 มี 42 คะแนนเท่ากับ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน แต่ประตูได้เสียดีกว่า อย่างไรก็ตามพวกเขาต้องลุ้นเหนื่อยแน่นอนเพราะ "เดอะ ซีกัลส์" แข่งน้อยกว่า 1 เกม 

ตอนนี้ "เดอะ เร้ดส์" ตามหลัง ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ทีมอันดับ 4 ซึ่งเป็นโควตาสุดท้ายถ้วยใบโตยุโรป 6 คะแนนแต่โชคดีตรงที่แข่งน้อยกว่า 1 เกม ฉะนั้นหากลูกทีมของคล็อปป์สามารถเก็บ 3 คะแนนน่าจะทำให้โอกาสในการลุ้นท็อปโฟร์ยังคงอยู่

อย่างไรก็ตาม โปรแกรมของ ลิเวอร์พูล หลังพักเบรกทีมชาติบอกเลยว่าอาจทำให้แฟนบอลต้องถอดใจเพราะต้องดวลกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, เชลซี และ อาร์เซ่อล แค่สามแมตช์นี้ก็ว่าจะตัดสินอนาคตของทีมได้ว่าจะไปเล่น ยูโรปา ลีก หรือ คอนเฟอเรนซ์ ลีก แต่ถ้าหนักกว่าก็คือไม่ได้ไปเลย !!

ทอมเม้ง


ที่มาของภาพ : getty images
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport