คัมแบ็กได้สำเร็จสำหรับ เชลซี หลังจากในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดสอง เมื่อวันอังคารที่ 7 มีนาคม ที่ผ่านมานั้น พวกเขาเปิดรัง สแตมฟอร์ด บริดจ์ เอาชนะ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ไปได้ 2-0 จนทำให้ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศจากการชนะด้วยสกอร์รวม 2-1
ผลงานดังกล่าวทำให้ เชลซี ทาบสถิติการเป็นทีมที่เข้ารอบน็อกเอาท์ในศึก แชมเปี้ยนส์ ลีก แม้ว่าจะแพ้ไปก่อนในนัดแรกได้เยอะที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ของรายการนี้ ที่จำนวน 5 ครั้ง เท่ากับ บาร์เซโลน่า, ยูเวนตุส และ เรอัล มาดริด เลยทีเดียว และวันนี้เราจะมาย้อนดูกันว่า 4 ครั้งก่อนหน้านี้เกิดขึ้นเมื่อตอนไหน
- รอบ 16 ทีมสุดท้าย ฤดูกาล 2004-05
ตอนนั้น เชลซี ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมจนจบรอบแบ่งกลุ่มด้วยการเป็นแชมป์ของกลุ่ม เอช จนทำให้คู่แข่งของพวกเขาในรอบ 16 ทีมสุดท้ายคือเหล่าทีมที่เป็นรองแชมป์กลุ่ม แต่พวกเขาดันดวงซวยเมื่อโดนจับไปเจอกับรองแชมป์ของกลุ่ม เอฟ ที่มีชื่อว่า บาร์เซโลน่า
ในนัดแรกนั้น เชลซี ออกจาก คัมป์ นู ด้วยการแพ้ไป 1-2 โดยวันนั้นพวกเขานำก่อนจากการทำเข้าประตูตัวเองของ ชูเลียโน่ เบลเล็ตติ ในนาทีที่ 33 ก่อนที่ บาร์เซโลน่า จะแซงชนะจากประตูของ มักซิมิเลียโน่ โลเปซ กับ ซามูเอล เอโต้
อย่างไรก็ตาม ในนัดที่ 2 ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ เชลซี คืนฟอร์มเก่งได้จนเอาชนะไป 4-2 ด้วยผลงานของ ไอเดอร์ กุ๊ดยอห์นเซ่น, แฟร้งค์ แลมพาร์ด, เดเมี่ยน ดัฟฟ์ และ จอห์น เทอร์รี่ ส่วน 2 ประตูของ บาร์เซโลน่า มาจากการเหมาของ โรนัลดินโญ่ น่าเสียดายที่สุดท้ายฤดูกาลนั้น เชลซี ไปถึงเพียงรอบรองชนะเลิศหลังจากตกรอบด้วยน้ำมือของ ลิเวอร์พูล
- รอบก่อนรองชนะเลิศ ฤดูกาล 2007-08
หลังจากผ่านรอบ 16 ทีมสุดท้ายมาได้ด้วยการชนะ โอลิมเปียกอส 3-0 แล้วนั้น เชลซี ก็ได้ดวลกับ เฟเนร์บาห์เช่ ทีมจากตุรเคีย ซึ่งดูผิวเผินแล้วไม่น่าจะเป็นงานยาก แต่ในนัดแรกซึ่งเตะกันที่บ้านของ เฟเนร์บาห์เช่ นั้น ทีมของ อัฟราม แกรนท์ กลับแพ้ไปก่อน 1-2 โดยวันนั้น เชลซี ขึ้นนำก่อนจากการทำเข้าประตูตัวเองของ ดีวิด ส่วนเจ้าบ้านมาแซงชนะจากประตูของ โคลิน คาซิม-ริชาร์ดส์ กับ ดีวิด ที่แก้ตัวได้
ถึงกระนั้น ในการเล่นนัดสอง เชลซี ก็กุมความได้เปรียบอย่างรวดเร็วจากประตูของ มิชาเอล บัลลัค ในนาทีที่ 4 ซึ่งแค่นั้นก็เพียงพอต่อการทำให้พวกเขาผ่านเข้ารอบด้วยกฎประตูทีมเยือนแล้ว ก่อนที่ แลมพาร์ด จะทำประตูเพิ่มในช่วง 3 นาทีสุดท้ายของเกมได้ จนทำให้ เชลซี ชนะด้วยสกอร์รวม 3-2
ทั้งนี้ หลังจากนั้น เชลซี ก็ผ่าน ลิเวอร์พูล ในรอบรองชนะเลิศได้ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ชวดแชมป์แบบสุดเจ็บปวดจากการแพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงดวลจุดโทษของนัดชิงชนะเลิศ
- รอบ 16 ทีมสุดท้าย ฤดูกาล 2011-12
ด้วยความที่เป็นแชมป์ของกลุ่ม อี ทำให้ เชลซี มีโอกาสเจอรองแชมป์ของกลุ่มอื่นที่ชื่อชั้นดูไม่แข็งเท่าไหร่ อย่างเช่น เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก หรือ ซีเอสเคเอ มอสโก แต่กลับกลายเป็นว่ามีมือดีจับให้พวกเขาไปจ๊ะเอ๋กับ นาโปลี ซะอย่างนั้น
ในนัดแรกที่บ้านของ นาโปลี นั้น เชลซี ขึ้นนำก่อนจาก ฆวน มาต้า แต่หลังจากนั้นเจ้าถิ่นมาได้ 3 ลูกติด แบ่งเป็นการทำ 2 ลูกของ เอเซเกล ลาเวซซี่ กับ 1 ประตูของ เอดินสัน คาวานี่ ซึ่งนั่นทำให้ เชลซี เจองานยากสุดๆ กับการเล่นนัดสอง
ท้ายที่สุดแล้ว เชลซี ก็กลับมาชนะด้วยสกอร์เดียวกันที่บ้านของตัวเอง จนทำให้เกมต้องเล่นกันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ ก่อนที่ บรานิสลาฟ อิวาโนวิช จะทำประตูในนาทีที่ 105 จนทำให้ เชลซี ชนะด้วยสกอร์รวม 5-4 และสุดท้ายพวกเขาก็เดินหน้าต่อจนซิวถ้วย "บิ๊กเอียร์" ในฤดูกาลนั้นไปเชยชม
- รอบก่อนรองชนะเลิศ ฤดูกาล 2013-14
ภายหลังชนะ กาลาตาซาราย ด้วยสกอร์รวม 3-1 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย เชลซี ก็ต้องมาเจอกับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ในรอบถัดมา ซึ่งพวกเขาเล่นได้ไม่ดีเท่าไหร่ในนัดแรกที่ ปาร์ก เดส์ แพร็งซ์ จนแพ้ไป 1-3
ในนัดสองที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ นั้น เชลซี ได้ประตูขึ้นนำจาก อันเดร เชือร์เล่ ในนาทีที่ 32 และต้องการอีกอย่างน้อย 1 ลูกสำหรับการที่จะทำให้พวกเขาผ่านเข้ารอบด้วยกฎประตูทีมเยือน ซึ่งตอนแรก เชลซี ทำท่าว่าจะหมดหวังแล้ว แต่พวกเขาก็มาได้ประตูที่ต้องการในช่วง 3 นาทีสุดท้ายของเกมจาก เดมบ้า บา ก่อนที่เกมจะจบลงด้วยสกอร์นั้น
ถึงกระนั้น เส้นทางของ เชลซี ในถ้วย แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่นนั้นก็จบลงในรอบรองชนะเลิศภายหลังพวกเขาแพ้ แอตเลติโก มาดริด 1-3
- เด็กเกร็ดบอล -