จุดเริ่มต้นนับถอยหลังสู่การก้าวไปคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก

จุดเริ่มต้นนับถอยหลังสู่การก้าวไปคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก
17 วันหลังจบเกมล่าสุด ลิเวอร์พูล จะได้กลับมาลงเตะอีกครั้งในศึกเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ ที่ แอนฟิลด์

มันคือเกมที่เป็นจุดเริ่มต้นนับถอยหลังสู่การก้าวไปคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้

จากนี้ไป แต่ละแมตช์เดย์คือการวัดนัดต่อนัดกับ อาร์เซน่อล โดยที่ "หงส์แดง" กุมความได้เปรียบนำ 12 คะแนนกับเกมที่เหลืออีก 9 นัด

16 จาก 27 แต้มเต็มเป็นสิ่งที่ ลิเวอร์พูล ต้องการเพื่อการันตีแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 20 หรือบางที 15 แต้มก็อาจเพียงพอ เมื่อปัจจุบันผลต่างประตูได้-เสียพวกเขาเหนือกว่า "เดอะ กันเนอร์ส" 13 ลูก

แง่สถิติ มีสัญญาณบอกว่าทีมของ อาร์เน่อ จะสามารถปิดงานนี้ได้สำเร็จ

กว่า 20 ปีที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล เคยเก็บแต้มได้น้อยกว่า 16 คะแนนจากช่วง 9 นัดสุดท้าย 7 ครั้ง

โดยใน 4 ครั้งนั้นพวกเขายังเก็บได้ 15 คะแนน ซึ่งล่าสุดคือช่วงปลายซีซั่นก่อนที่ฟอร์มของทีมยุค เจอร์เก้น คล็อปป์ ตกลงไป

3 ครั้งที่ ลิเวอร์พูล ไม่สามารถเก็บได้ถึง 15 แต้มคือยุคของ แบรนเดน ร็อดเจอร์ส ที่ต่อมาเขาถูกปลดตอนออกสตาร์ทซีซั่นต่อมาไปแล้ว(2015), เคนนี่ ดัลกลิช ที่อำลาทีมไปทันทีตอนจบฤดูกาล 2011/12 และ ราฟาเอล เบนิเตซ ปีแรกที่ตอนนั้นหันไปมุ่งมั่นทุ่มเทนัดชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก 2005

แล้วยิ่งตลอด 29 เกมในฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล แพ้เพียงนัดเดียว มันก็คงจะบ่งบอกได้ว่าทีมของ อาร์เน่อ ยังคงมีมาตรฐานสูงกับการเล่นเกมลีก

อย่างไรก็ตาม บนพื้นฐานความรู้สึกของแฟนบอล มันก็ยังมีเรื่องให้หลายคนวิตกกังวลถึงผลงานก่อนพักเบรกทีมชาติ เช่น สภาพจิตใจผู้เล่น, ปัญหาแบ็กขวา, กองหน้าตัวเป้า และการหมุนเวียนผู้เล่น

ความผิดหวังของบรรดานักเตะชัดเจนมากตอนที่พวกเขาเดินออกจากสนามเวมบลี่ย์ 

แต่การมีพักเบรกทีมชาติทันทีหลังจากนั้นอาจช่วยให้แต่ละคนสามารถจัดการความคิดและจิตใจ

จริงอยู่ว่า ผลงานการติดธงของแต่ละคนแตกต่างกันไป

วาตารุ เอ็นโด พาทีมชาติญี่ปุ่น ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 2026

ขณะที่ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ พบเจอความผิดหวังซ้ำสองเมื่อทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ตกรอบ ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก ด้วยการพ่ายดวลโทษต่อ สเปน

แต่การกลับมายังสโมสร จะช่วยให้ผู้เล่นมีแรงจูงใจมากขึ้นเพื่อแก้ตัวจากผลงานที่ไม่ดีก่อนหน้านี้

ในการซ้อมเตรียมทีมก่อนเจอ "ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน" เอฟเวอร์ตัน หนึ่งปัญหาการจัดการทีมที่ อาร์เน่อ ต้องเจอแน่ ๆ แล้วคือแบ็กขวา

เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ คาดว่ากลับมาอีกทีปลายเดือนเมษายน ส่วน คอเนอร์ แบร็ดลี่ย์ ดูดีขึ้นแต่ยังไม่พร้อมสำหรับเกมนี้ ด้าน โจ โกเมซ มีสัญญาณเชิงบวกทว่าทำได้เพียงเหยียบหญ้าวอร์มเบา ๆ 

ตัวเลือกเดียวที่เหลือคือ จาร์เรลล์ ควอนซาห์ ซึ่งเขาเป็นเซนเตอร์แบ็กไม่ใช่แบ็กขวาอาชีพ ฉะนั้นเรื่องเกมรุกจึงไม่ใช่งานถนัด      

อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาฝึกซ้อมเป็นโอกาสสำคัญเพื่อสร้างความเข้าใจกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทางฝั่งนี้ให้มากขึ้น

อีกปัญหาที่พูดได้ว่าคือปัญหาหลักของ อาร์เน่อ ในปีนี้คือกองหน้าหมายเลข 9 มันเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับยุค คล็อปป์ ช่วงแรก ๆ 

ไม่ว่าจะ ดีโอโก้ โชต้า, ดาร์วิน นูนเญซ หรือกระทั่ง หลุยส์ ดิอาซ ต่างก็เจอปัญหาเรื่องการทำประตู แล้วระยะหลังคนที่ได้ออกสตาร์ทตัวจริงก็มักขาดอิทธิพลต่อเกม

มันเป็นเรื่องยากที่ อาร์เน่อ จะมาเปลี่ยนแผนการเล่นในช่วงท้ายฤดูกาล 

ดังนั้นนี่อาจเป็นโอกาสที่ โชต้า, นูนเญซ หรือ ดิอาซ จะต้องฉกฉวยไว้ให้ได้ 

เมื่อเหลือแค่เกมลีกให้ลงเตะ การหมุนตัวผู้เล่นก็จะทำได้สบายมากขึ้น ซึ่ง อาร์เน่อ ได้เรียนรู้มาตลอดแล้วว่าการทำแบบนี้คือสิ่งสำคัญ

ทีมต้องเล่นในระดับความเข้มข้นสูงตลอดเวลา ความล้าสะสมก็เกิดขึ้นจนส่งผลเสียต่อฟอร์มการเล่น

การจัดสรรเวลาลงสนามให้กับนักเตะอย่าง เอ็นโด, ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ และ เฟเดริโก้ เคียซ่า (ยังไม่มีใครได้เป็นตัวจริงในเกมลีก) อาจช่วยลดภาระให้กับตัวหลัก 

และทำให้ผู้เล่นแถวสองพวกนี้ได้มีจังหวะการเล่นเพื่อรักษาฟอร์ม ซึ่งอาจสร้างความแตกต่างได้อย่างมากในช่วงทางตรงสุดท้ายก่อนเข้าสู่เส้นชัย

ถึงกระนั้น ต่อให้มีอุปสรรคเกิดขึ้น แต่ ลิเวอร์พูล ยังสามารถกำหนดชะตาของตัวเองได้อย่างเต็มที่

HOSSALONSO



ที่มาของภาพ : getty image
BY : Hossalonso
ธีรศานต์ คงทอง
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport