ย้อนกลับไปเมื่อปี 2012 อาดิดาส มีโอกาสขยายสัญญากับ ลิเวอร์พูล ทว่าช่วงนั้นผลงานของทีมตกต่ำมาก แชมเปี้ยนส์ ลีก ไม่ได้ไปเล่น ซึ่งพวกเขามองว่ามูลค่าสัญญาที่จะต่อออกไปมันสูงเกินจริง
อย่างไรก็ตาม เวลาผ่าน 13 ปี ลิเวอร์พูล จะมีแบรนด์ดังเจ้านี้กลับมาติดตรงหน้าอกอีกครั้ง และเป็นคำรบที่ 3 ที่ทั้งสองฝ่ายจับมือร่วมกัน
การเปลี่ยนแปลงหนนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2025 เป็นอีกก้าวหนึ่งของการเพิ่มรายได้เชิงพาณิชย์สโมสร ต่อยอดจาก ไนกี้ ที่ผลิตชุดแข่งให้ ลิเวอร์พูล มา 5 ปี
ด้านรายได้
ภายใต้เงื่อนไขปัจจุบัน ลิเวอร์พูล ได้รับค่าตอบแทนจาก ไนกี้ คงที่ปีละ 30 ล้านปอนด์ บวกค่าลิขสิทธิ์ 20% ของยอดขายสินค้าสุทธิ ซึ่งทำให้รายได้รวมต่อปีเกินกว่า 60 ล้านปอนด์
ส่วนข้อตกลงใหม่กับ อาดิดาส แม้ว่ายังไม่มีการเปิดเผย แต่คาดว่าจะมีมูลค่าใกล้เคียงกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ อาร์เซน่อล ที่ได้รับจาก พูม่า กับ อาดิดาส ต่อปีที่ 65 ล้านปอนด์ กับ 75 ล้านปอนด์ตามลำดับ
โดยดีลนี้ มูลค่าที่เพิ่มขึ้น ขึ้นอยู่กับผลงานในสนามและยอดขายทั่วโลก
คู่แข่งสำคัญอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แม้พวกเขาจะมีปัญหาในพรีเมียร์ลีก แต่ แมนยู ยังคงถือสถิติข้อตกลงชุดแข่งที่แพงที่สุดในลีก หลังเซ็นสัญญากับ อาดิดาส เป็นเวลา 10 ปีตอนเดือนกรกฎาคม 2023
ข้อตกลงดังกล่าวมีมูลค่าประมาณ 900 ล้านปอนด์หรือ 90 ล้านปอนด์ต่อฤดูกาล แต่มีเงื่อนไขลดมูลค่าหากทีมไม่ผ่านเกณฑ์ผลงานที่กำหนด
ข้อมูลจากปี 2023-24 ของ UEFA’s European Club Finance and Investment Landscape แสดงให้เห็นว่า ลิเวอร์พูล มีรายได้จากชุดแข่งและสินค้า 122.6 ล้านปอนด์ เทียบเท่ากับ แมนยู และเป็นรองเพียง บาร์เซโลน่า (171 ล้านยูโร), บาเยิร์น มิวนิค (171 ล้านยูโร), เรอัล มาดริด (102 ล้านยูโร)
รายได้เชิงพาณิชย์โดยรวม ลิเวอร์พูล เติบโตอย่างแข็งแกร่ง เพิ่มขึ้น 36 ล้านปอนด์ เป็น 308 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นผลมาจากเซ็นสัญญากับบริษัทใหญ่ เช่น UPS, Google Pixel, Peloton และ Orion Innovation รวมถึงต่อสัญญากับ Kodansha และ Carlsberg
นอกจากนี้ ร้านค้าปลีกสโมสรยังทำลายสถิติยอดขายใน 7 สาขาทั่วโลก และเพิ่งเปิดสาขาใหม่ที่ ดับลิน
ด้านการตลาด
การได้ข้อตกลงกับ ลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นว่าที่แชมป์ พรีเมียร์ลีก ถือเป็น ความสำเร็จครั้งสำคัญของ อาดิดาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแย่งชิงพันธมิตรรายใหญ่มาจาก ไนกี้
อาดิดาส มีความสัมพันธ์กับสโมสรชั้นนำอื่นๆ เช่น เรอัล มาดริด กับ บาเยิร์น มิวนิค และเคยร่วมงานกับ ลิเวอร์พูล มาแล้วระหว่างปี 1985-1996 และ 2006-2012
ผู้เล่นหลายคนในทีมชุดใหญ่ของ ลิเวอร์พูล มี อาดิดาส เป็นสปอนเซอร์ เช่น โมฮาเหม็ด ซาลาห์, เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, เคอร์ติส โจนส์, ดาร์วิน นูนเญซ, อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์, ดีโอโก้ โชต้า, หลุยส์ ดิอาซ และ ไรอัน กราเฟนแบร์ก ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับความร่วมมือระหว่างสโมสรและแบรนด์ยิ่งขึ้นในอนาคต
การมีแผนการตลาดใหม่ร่วมกับ อาดิดาส จะช่วยให้ ลิเวอร์พูล มีศักยภาพในการเติบโตทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง
งบประมาณการย้ายทีม
เชิงหลักการ รายได้ที่เพิ่มขึ้นจะช่วยเพิ่มโอกาสในการลงทุนในด้านต่าง ๆ ของสโมสร รวมถึงการซื้อนักเตะ
ลิเวอร์พูล ค่อนข้างเงียบในตลาดนักเตะช่วง 2 รอบล่าสุด แต่ อาร์เน่อ ยืนยันว่าแผนการเสริมทีมสำหรับซัมเมอร์นี้กำลังดำเนินอยู่
การเติบโตเชิงพาณิชย์ที่แข็งแกร่งจะช่วยให้ ลิเวอร์พูล รักษาความสามารถในการแข่งขัน และเตรียมพร้อมสำหรับการพัฒนาทีมในระยะยาวต่อไป
โดยการเพิ่มรายได้จากทุกช่องทางยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการทำเช่นนั้น
ทำไมดีลถึงเริ่มวันที่ 1 สิงหาคม ?
ปกติชุดแข่งใหม่จะเริ่มในเดือนมิถุนายนเพื่อครอบคลุมช่วงปรีซีซั่น แต่สำหรับ ลิเวอร์พูล การเปลี่ยนมาใช้ อาดิดาส จะเริ่มในวันที่ 1 สิงหาคม ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลก
สาเหตุหลักมาจากเงื่อนไขในสัญญาเดิมกับ ไนกี้ ที่เริ่มต้นตอนเดือนมิถุนายน 2020 แต่ต้องเลื่อนออกไปเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้ ลิเวอร์พูล ยังใช้ชุดของ นิว บาลานซ์ ในช่วงที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 2019/20
ทั้งนี้ ลิเวอร์พูล อาจต้องเริ่มช่วงปรีซีซั่นในชุดของ ไนกี้ ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้ อาดิดาส เพียง 2 สัปดาห์ก่อนเปิดฤดูกาล 2025/26
ข้อมูลจาก The Athletic
HOSSALONSO