ปกหลังของ เดลี่ มิเรอร์ แท็บลอยด์ชั้นนำ ฉบับวันจันทร์ 24 กุมภาพันธ์ ซึ่งแวะเข้าไปซื้อในร้าน WHSmith’s ในสถานีแมนเชสเตอร์ พิคคาดิลลี่ ก่อนอาศัยรถไฟอาแวนติ (เทคโอเวอร์จาก เวอร์จิ้น เทรน ของคุณริชาร์ด แบรนสัน ได้พักใหญ่แล้ว) ลงเมืองหลวงแค่ 2 ชั่วโมง 12 นาที เอารูป โม ซาล่าห์ ฉลอง พร้อมกับพาดหัวเล่นคำว่า WON HAND ON THE TROPHY
หลวงแค่ 2 ชั่วโมง 12 นาที เอารูป โม ซาล่าห์ ฉลอง พร้อมกับพาดหัวเล่นคำว่า WON HAND ON THE TROPHY
ปัจจุบันราคาอยู่แถว 1.70 ปอนด์ แม้โลกจะเปลี่ยนไปมากขนาดไหน ใครคนนี้ก็ชอบเอามือเปื้อนหมึก ยังรักการอ่านจากแผ่นกระดาษแบบนี้นะครับ …
มีใครเถียงอะไรไหมครับ ถ้าจะบอกว่า แชมป์อยู่ในมือ ลิเวอร์พูล แล้ว?
ในฐานะ นักข่าว/คอลัมนิสต์ ที่เถรตรงคนนึงในสามโลก รวมทั้งโลกนี้ และโลกหน้า ไปนั่งชมเกม แมนฯ ซิตี้ v ลิเวอร์พูล ในเพรส บ๊อกซ์ ที่เอติฮัด ขอแสดงความเห็นแบบไม่มีกั๊กเลยว่า แชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ตัดสินเรียบร้อยหลังจากผลการแข่งขันในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
เหลือเชื่อนะครับ พรีเมียร์ลีกรู้แชมป์ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ..
อาร์เซน่อล เหมือน ปาทริซ เอฟร่า อดีตแบ๊คซ้ายในตำนานของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ว่าไว้ “Watching Arsenal is like Watching Netflix …you always have to wait for the season “ ต้องรอดูซีซั่นต่อไป … ช่างคิดนะ เพ่ท่าน
นี่ถ้าผมถนัดทำเสื้อแซว ขายหน้าสนาม ต้องเอาข้อความนี้ไปเล่นครับ น่ารักดี ฮ่า ฮ่า
แมนฯยูฯ เคยโดน อาร์เซน่อล ที่ตามหลัง 13 แต้ม แซงเป็นแชมป์ในฤดูกาล 1997-98 (แต่ถ้าจำไม่ผิด ปืนใหญ่ก็แข่งน้อยกว่า 3 นัดนะ) , หรือ นกขมิ้นเหลืองอ่อน - นอริช ซิตี้ โดนแมนฯยูฯ ที่ตามหลัง 12 แต้ม แซงมาเป็นแชมป์ในซีซั่น 1992-93 (ปีศาจแดง ฉกตัว เอริค คันโตน่า มาจากยูงทอง ปลายเดือนพฤศจิกายน บอลยุคนั้นเติมตัวแบบนั้นได้ ค่าตัวแค่ 1 ล้านปอนด์ ในฐานะเด็กหงส์ เราก็อยากด่ายูงทองว่า “มึงขายมาทำไม!”)
และแฟนสาลิกาดง ในยุคกุนซือ เควิน คีแกน ก็ไม่เคยลืมความเจ็บปวด ที่อุตส่าห์นำปีศาจแดง ในฤดูกาล 1995-96 มากถึง 12 คะแนน เช่นกัน ..
แต่นาทีนี้ ในโลกชองความเป็นจริง อาร์เซน่อล อยู่ในสภาพไม่พร้อม ทั้งขนาดทัพ และสภาพจิตใจขอรับ การแพ้คารังต่อ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด นัดล่าสุด ยืนยันได้ดี และเกมต่อไปใกล้ๆ เยือน น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์, เยือน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ก่อนจะกลับรังต้อนรับ เชลซี ทุกเกมต้องมองไว้ก่อนว่า มีสิทธิ์จะทำแต้มตกหล่นอีก แม้กระทั่งเยือนโอลด์ แทร๊ฟเฟิร์ด เยือนทีมที่พร้อมจะปราชัยให้กับทุกทีม นั่นก็ ไม่แน่เหมือนกันนะ
!
ในขณะ ลิเวอร์พูล เล่นที่เอติฮัด แบบ “แชมเปี้ยนส์” , ไม่จำเป็นต้องเล่นบอลสไตล์ เฮฟวี่ เมทัล เหมือนยุค เยอร์เก้น คล็อปป์ หากยุคนี้ เป็นบอลคอนโทรล ที่แฝงการเล่นน่าตื่นตาตื่นใจ …
ไม่เคยคิดจะเปรียบเทียบ คล็อปป์ กับ อาร์เน่อ สล็อต นะครับ
เพราะงานของ คล็อปป์ ที่แอนฟิลด์นั้น แทบจะเรียกว่า เริ่มจากศูนย์ , ในขณะ อาร์เน่อ เข้ามารับช่วงทีมที่ดีอยู่แล้ว แต่ก็ปรับเปลี่ยนวิธีการเล่น เอาไอเดียของตัวเองเข้าไป
ในเกมที่เราได้เห็น ไรอัน กราเฟนแบร์ก คนที่หัวหน้าโค้ชชาวดัตช์ ปั้นให้เล่นบทนัมเบอร์ ซิกซ์ จนเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในฤดูกาลนึง กลับมาท็อปฟอร์ม หลังจากดร็อปไปหน่อยในเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ และเยือนวิลล่า
ได้เห็น โม ซาล่าห์ กับ ดอม ต่างยิง + แอสซิสต์ ได้เห็นประตูแรก ลูกเตะมุมที่มาจากเทรนนิ่ง กราวด์ ชัดๆ
เป็นนัดที่ 11 ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ที่ ราชันย์แห่งอียิปต์ครบเครื่องขนาดนี้ ซึ่งถ้ามองใน 5 ลีกใหญ่ ต้องย้อนไปเป็นสิบปี ถึงจะมีใครสักคนทำแบบนี้ได้
เขาคนนั้นก็คือ ลิโอเนล เมสซี่ สมัยค้าแข้งกับยอดทีมบาร์เซโลน่า นั่นเอง
แต่ผลงานขนาดนี้แล้ว ใครคนนี้ก็ยังไม่มั่นใจว่า โม ซาล่าห์ จะลุ้นได้บัลลงดอร์ ปีนี้ ได้หรือยัง เพราะที่ผ่านมา ยิงแหลกทุกปี หากก็ดูเหมือนว่า หลายคนจะไม่ให้เครดิตอย่างที่ควรจะเป็น
แต่ถ้าถามว่า ใครควรได้ แมน ออฟ เดอะ แม็ตช์ ในเกม ลิเวอร์พูล - แมนฯ ซิตี้ ติ๊กต๊อก ติ๊กต๊อก
ผมจะแกล้งไม่บอกว่า เป็นโม หรือ เป็น โซบอสไล นะขอรับ หากเฉไฉว่า ต้องผู้จัดการทีม อาร์เน่อ สล็อตแล้วหล่ะ ให้เพอร์เฟ็คท์ เท็น ไปเลย คุณเจ๋งมากที่ชนะ เป๊ป ทั้งเหย้าและเยือน โดยไม่จำเป็นต้องไปสนว่าเรือใบ มีปัญหาแค่ไหน
การเลือก เคอร์ตีส โจนส์ + โดมินิค โซบอสไล ยืนสูง เป็นบทนัมเบอร์เท็นคู่ ในขณะ หลุยส์ ดีอาซ ลงตัวจริง แต่ขึ้นกราบซ้าย เป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์ ไม่เพียงคู่แข่ง แต่แฟนบอลทั้งโลก คือแท็คติกทีเด็ดจริงๆ ครับ
อาจจะมีเหตุผลประกอบว่า ดีโอโก้ โชต้า ร่างกายไม่พร้อม โคดี้ กัคโป เพิ่งกลับมาซ้อม และอาจจะปกป้อง ดาร์วิน นูนเญซ นิดว่า เล่นกับแมนฯ ซิตี้ ที่ครองบอลเยอะ อาจไม่เหมาะ
จะอะไรก็แล้วแต่ คุณตัดสินใจได้ดีมาก รวมทั้งการปรับเปลี่ยนแท็คติกระหว่างเกม บางจังหวะหลังจากนำ 1-0 แล้วเรือใบพยายามบุกต่อเนื่องเอาคืน คุณก็สั่งให้ โจนส์ ลงมายืนกลางซ้าย เป็นกลางสามคนซะ … แต่ยืนแปล๊บเดียว ก็ให้ขึ้นสูงแบบเดิม สูงจนผมก็มองว่า ไม่ต้องบอกว่าเป็นนัมเบอร์เท็น เรียกว่า “คู่หน้า” ที่สามารถพล่านไปทั่ว ก็ไม่แปลกอะไร
และเมื่อช่วงหลังเอา วาตารุ เอ็นโดะ ลงมาช่วยงาน ไรอัน กราเฟนแบร์ก ช่วยปัดกวาดอีกแรง ก็เห็น อเล็กซิส แม็คอัลลิสเตอร์ ขึ้นไปยืนสูงแทน โจนส์ ที่เปลี่ยนออกไป เหมือนจะรับให้แน่นหนา ป้องกัน 2 ลูกที่ตัวเองนำอยู่ แต่ก็ได้คุกคามจนเกือบได้ประตูเพิ่มด้วย
หมากนี้ ไม่ใช่เล่นตลอดหรอกครับ แต่ก็ค้นพบการเล่นที่ร้ายกาจอีกแบบนึงเฉย ..
ลิตเติ้ลโจ